
15 ตุลาคม 2568 ความคืบหน้าภายหลังที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมากรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระแรก ที่ถูกเสนอโดยพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้มี ส.ส.ร.มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยร่างรัฐธรรมนูญ ที่ถูกเสนอโดยพรรคประชาชน ได้รับมติจากรัฐสภา ด้วยมติเห็นชอบ 568 เสียง ซึ่งมี สว.เห็นด้วย 108 เสียง,
ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ถูกเสนอโดยพรรคภูมิใจไทย ได้รับมติจากรัฐสภา ด้วยมติ 629 เสียง ซึ่งมี สว.เห็นด้วย 167 เสียง แต่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย แม้ว่า จะได้รับมติเสียงข้างมากจากรัฐสภา 521 เสียง แต่เสียงสนับสนุนจากวุฒิสภา ไม่ถึง 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง ซึ่งได้ไปเพียง 60 เสียง ดังนั้น จึงถือว่า ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไป ต้องเป็นอันตกไป
ทั้งนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า สมาชิกวุฒิสภา สายสีน้ำเงินส่วนหนึ่ง ได้ลงมติไปในทิศทางเดียวกัน ในการเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคภูมิใจไทย หรือรับหลักการทั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน โดยลงมติไม่รับหลักการ หรืองดออกเสียงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับพรรคเพื่อไทย
ภายหลังการลงมติเสร็จสิ้น ที่ประชุมจะต้องเลือกว่า จะใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคประชาชน เป็นร่างหลักในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการ โดย นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอให้ใช้ร่างพรรคภูมิใจไทยเป็นร่างหลักในการพิจารณา ขณะที่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เสนอให้ใช้ร่างพรรคประชาชน เป็นร่างหลักในการพิจารณา ทำให้ที่ประชุม ต้องมีการลงมติกัน
ซึ่งผลการลงคะแนนปรากฏว่า ทั้งร่างพรรคประชาชาชน และพรรคภูมิใจไทย ได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน 290 เสียง ต่อ 290 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง แต่ยังมี สส.และ สว.ที่ลงคะแนนแบบขานรายชื่อ ที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ยังไม่ได้รวมคะแนนไปด้วย ซึ่งปรากฏว่า มีเสียงสนับสนุนร่างพรรคประชาชน 292 เสียง และร่างพรรคภูมิใจไทย 297 เสียง
อย่างไรก็ตาม นายวัชรพล ขาวขำ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้ขอให้ที่ประชุมรัฐสภา นับคะแนนใหม่ เนื่องจาก ในการประชุมก่อนหน้านี้ เคยมีสมาชิก ลงมติซ้ำทั้งแบบกดบัตร และขานรายชื่อ จึงขอให้ประธานการประชุม ได้นับคะแนนใหม่
เช่นเดียวกับ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้สนับสนุนญัตติของนายวัชรพล ขอให้ที่ประชุมรัฐสภา นับคะแนนใหม่ ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 58
แต่ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยโดยขอให้ประธานการประชุม ตรวจสอบรายชื่อเฉพาะผู้ที่กดบัตร และลงคะแนนด้วยวาจาเท่านั้น เพื่อไม่ให้มีหลักการใหม่ที่จะต้องลงมติใหม่ หรือตัดสินใจใหม่ เมื่อไม่พอใจผลการลงคะแนน
ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ยืนยันข้อบังคับการประชุมรัฐสภาในการขอนับคะแนนใหม่ และขอเห็นความจริงใจจากพรรคภูมิใจไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงขอให้มีการนับคะแนน และลงคะแนนใหม่ ตามข้อเสนอของนายณัฐวุฒิ
ดังนั้น ประธานรัฐสภา จึงได้วินิจฉัยให้มีการลงคะแนนใหม่ ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา และตามการเสนอของนายณัฐวุฒิ และต้องขออภัยนายกรวีร์ด้วย
ทำให้นายกรวีร์ ได้เสนอญัตติซ้อน เพื่อไม่ขอให้มีการนับคะแนนใหม่ ซึ่งประธานรัฐสภา ชี้แจงว่า การขอนับคะแนนใหม่ ถือเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ที่เสนอให้มีการนับคะแนนใหม่ ก่อนที่ที่ประชุม จะเข้าสู่กระบวนการนับคะแนน ด้วยการลงคะแนนใหม่แบบขานรายชื่อ
โดยการลงคะแนนปรากฏว่า ที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 300 เสียง ต่อ 287 เสียง มีมติให้ใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับพรรคประชาชน เป็นร่างหลักในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการ โดยที่พรรคเพื่อไทย ได้ประกาศลงมติสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน
ทั้งนี้ ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ในข้อ 58 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขอนับคะแนนใหม่ ญัตติว่า เมื่อมีการออกเสียงลงคะแนนในการใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนแล้ว ถ้าสมาชิกรัฐสภา ร้องขอให้มีการนับใหม่ โดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 40 คน ก็ให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ และให้เปลี่ยนวิธีการลงคะแนนเป็นวิธีการขานรายชื่อรายบุคคล เว้นแต่คะแนนเสียงเกินกันกว่า 30 คะแนน จะขอให้มีการนับคะแนนใหม่ไม่ได้ เมื่อมีการลงคะแนนเสียงแบบขานรายชื่อแล้ว จะขอให้มีการนับคะแนนใหม่อีกไม่ได้
![]()