svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ภาพซ้อน 3 มิติกับ 4 เรื่องที่ไม่ควรทำ: เริ่มนับหนึ่งจัดการชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทย?

ภาพซ้อน 3 มิติกับ 4 เรื่องที่ไม่ควรทำ: เริ่มนับหนึ่งจัดการชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทย?

12 ตุลาคม 2568 ภาพซ้อน 3 มิติกับ 4 เรื่องที่ไม่ควรทำ 

 

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง กล่าวถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn

 

 

ภาพซ้อน 3 มิติกับ 4 เรื่องที่ไม่ควรทำ: เริ่มนับหนึ่งจัดการชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทย?

ภาพซ้อน 3 มิติกับ 4 เรื่องที่ไม่ควรทำ: เริ่มนับหนึ่งจัดการชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทย?

 

 

1. ภาพแรก: "เส้นตาย 10 ตุลาคม" - ประชาชนชาวไทย รวมทั้งสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ แม้แต่ทางกัมพูชา ส่วนใหญ่คงเข้าใจกันว่าจะมีการดำเนินการเรื่องรุกล้ำพื้นที่ ที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้วอย่างจริงจังและเด็ดขาดในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ตามที่เจ้าหน้าที่ได้กำหนดเงื่อนเวลาไว้ แม้ว่าบางส่วนจะทำใจไว้บ้างแล้วว่าอาจจะไม่มีอะไรคืบหน้ามากนักถ้าดูจากแนวทางในอดีต แต่บางส่วนก็ยังหวังว่า อย่างน้อย ๆ ก็คงจะมีการดำเนินการบางอย่างให้เห็นชัดถึงความตั้งใจของรัฐบาลใหม่

 

แต่เมื่อถึงเวลา "เส้นตาย" ดังกล่าว ก็ปรากฏว่าไม่ได้มีการดำเนินการต่อชาวกัมพูชาที่เข้ามารุกล้ำดินแดนไทยอย่างชัดเจนและเด็ดขาดแต่อย่างใด แม้ว่าจะมีการประชุมสภาความมั่นคง (สมช.) ในเรื่องนี้เป็นวาระพิเศษในวันนั้นและได้มีมติบางอย่างที่น่าสนใจ เช่น ตั้งคณะกรรมการพิเศษในการประสานงาน รวมทั้งมีการเริ่มกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ตามที่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า

 

ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดของใครหรือไม่ หรือเข้าใจไม่ตรงกันว่า "เส้นตาย" นั้นคืออะไร แต่ก็ไม่ได้มีการทักท้วงหรือชี้แจงกันให้ชัดเจนก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะฝ่ายรัฐตั้งแต่แรก ซึ่งสะท้อนความไม่เป็นเอกภาพและปัญหาในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

 

2. ภาพที่สอง: "ไม่มีเส้นตาย" - นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่า "ไม่เคยมีคำว่าเส้นตายหลุดออกจากรัฐบาล" ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพความเข้าใจของคนทั่วไปในมิติแรกอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดความสับสนและไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะดำเนินการเชิงรุกตามที่ได้ประกาศไว้ในเวทีโลกที่สหประชาชาติเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาหรือไม่

แต่หลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติวาระพิเศษในวันเส้นตายนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานสภาความมั่นคงฯ ได้พูดกับผู้สื่อข่าวหลังการประชุมว่า รัฐบาลเริ่มดำเนินการบางอย่างในเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่สามารถบอกได้เพราะเป็น "ความลับสุดยอด" (ภาษาราชการที่ถูกต้องน่าจะเป็น "ลับที่สุด") 

ถ้าเป็นความจริง ก็จะเป็นการ "เริ่มต้นนับหนึ่ง" อย่างเป็นทางการในการจัดการกับชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งต้องทำตามหน้าที่และตามกฏหมายอยู่แล้ว หากสำเร็จ รัฐบาลก็คงจะได้คะแนนสนับสนุนเพิ่มขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่ก็คงจะได้ส่งกำลังใจไปให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่กันอย่างอบอุ่น

 

 

3. ภาพที่สาม: "การเริ่มนับหนึ่ง" - ในการปฏิบัติจริง น่าจะมีการเริ่มต้นนับหนึ่งเป็นครั้งแรกเมื่อมีการประชุมสมช.ในรัฐบาลชุดนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 ต.ค. เพียงหนึ่งวันหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่อะไรคือ "ความลับสุดยอด" ในการดำเนินการกับกัมพูชาที่พิจารณากันในการประชุมสมช.วาระพิเศษในวันที่ 10 ต.ค.นี้ คงไม่มีใครทราบนอกจากผู้เข้าร่วมประชุม เพราะถ้าเป็นเรื่อง "ลับที่สุด" ของราชการแล้ว ใครเปิดเผยก็จะมีความผิด แต่ที่น่าสนใจก็คือ เลขาธิการสมช.ที่ได้รับมอบหมายให้แถลงหลังการประชุมนั้น ได้ย้ำจุดยืนของไทย 4 ข้อคือ ให้กัมพูชาถอนอาวุธออกจากแนวชายแดน กู้ทุ่นระเบิด ปรามแก๊งค์สแกมเมอร์และจัดระเบียบชายแดนที่ชาวกัมพูชารุกล้ำ ซึ่งก็เป็นเงื่อนไขเดิมของไทยที่เคยยื่นต่อกัมพูชาไว้แล้วในหลายเวที

แต่ที่น่าสนใจคือ ที่ประชุมฯ มีมติให้ตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อเชื่อมโยงการแก้ปัญหาภาคใต้เข้าด้วยกันให้เป็นเอกภาพ ซึ่งคณะกรรมการพิเศษที่ว่านี้ ความจริงแล้วไม่ใช่กลไกใหม่ เพราะคล้ายกับ "ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา" ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ได้ลงนามแต่งตั้งไว้เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง 

ในเรื่องภาคใต้นี้ หากคณะกรรมการพิเศษที่ว่านี้มีองค์ประกอบที่ทำให้เกิดเอกภาพได้ เช่น มีทั้งฝ่ายนโยบาย ฝ่ายการเมือง ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร พลเรือน ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายกฏหมาย ฝ่ายการต่างประเทศ และตัวแทนภาคประชาชน และอื่น ๆ ที่ครบถ้วนแล้ว ปัญหาเรื่องการขัดกันหรือย้อนแย้งกันของหน่วยงานต่าง ๆ ก็จะน้อยลง

ส่วนที่ว่า "ลับสุดยอด" นั้นคือ ที่ประชุมฯ น่าจะได้รับทราบถึงแผนการและข้อเสนอในการดำเนินการกับชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในรายละเอียด เช่น การประกอบกำลัง@ ขั้นตอนในการปฏิบัติ วันเวลาในการเริ่มดำเนินการ ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้เพราะจะมีผลต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่และต่อความสำเร็จในการดำเนินการ

 

 

4. เมื่อมีการ "เริ่มนับหนึ่ง" ดังกล่าว ซึ่งเป็นการเริ่มบริบทใหม่ในการจัดการกับกัมพูชาของรัฐบาลปัจจุบัน หากหลีกเลี่ยงปัญหา 4 ประการข้างล่างนี้ได้ ก็คงจะเกิดผลดีต่อการดำเนินการ คือ

 

1) อย่าซื้อเวลา - เพราะยิ่งชักช้า ไม่เดินไปข้างหน้ามากเท่าไร ไทยก็จะยิ่งไม่ได้เปรียบเท่านั้น แต่สำหรับกัมพูชาแล้ว การซื้อเวลา ถ่วงเวลา หรือเบี่ยงเบนประเด็น เป็นยุทธวิธีที่ได้ผล ทำให้ยืนระยะได้นาน และเป็นฝ่ายได้เปรียบในการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว กัมพูชาอ่อนแอกว่าไทย ถ้าตกลงเร็วเกินไปก็ย่อมจะเสียเปรียบเป็นธรรมดา

แต่ที่สำคัญสำหรับไทย การซื้อเวลาหรือไม่ตัดสินใจอะไรให้ชัดเจนเด็ดขาดนั้น จะเท่ากับเดินถอยหลังหรือถดถอยลง เพราะกัมพูชาก็จะรุกคืบไปข้างหน้าได้อีก และจะทำให้ไทยเสียเปรียบเพิ่มขึ้นในหลายสมรภูมิ อย่างที่เห็นกันมาในทุกวันนี้

 

 

2) อย่าปล่อยเจ้าหน้าทำตามลำพัง - เมื่อเริ่มนับหนึ่งเดินหน้ากันแล้ว ผู้นำหรือฝ่ายการเมืองจะต้องกำหนดแนวทางปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนในแต่ละก้าวย่างที่จะเดินไปข้างหน้า และจะต้องควบคุมการดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางนั้นด้วย

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายบริหารจะต้องควบคุมหรือกำกับฝ่ายปฏิบัติในทุกเรื่อง แต่จะเกิดความผิดพลาดได้ง่ายหากฝ่ายบริหารมอบอำนาจและความรับผิดชอบให้กับฝ่ายปฏิบัติตัดสินใจตามดุลยพินิจตามลำพังในเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเช่นด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โดยไม่ได้มีการติดตามและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เหตุเพราะเคยผิดพลาดมาแล้วในอดีต คือมีการดำเนินการกันไปคนละทิศคนละทาง ย้อนแย้ง สวนทางกัน แม้กระทั่งขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่มีการกำหนดเส้นตายโดยฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ แต่ฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายนโยบายกลับปฏิเสธว่าไม่มีเส้นตายดังกล่าว เป็นต้น

 

 

3) อย่าให้ใครบิดเบือนความจริง - ไทยประสบความสำเร็จที่ชี้ให้นานาชาติเห็นในที่ ประชุม UNGA เมื่อเดือนก่อนว่ากัมพูชาได้ "ทำความจริงให้เป็นเรื่องตลก"

 

ดังนั้น การจัดการปัญหาที่บ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว หรือที่อื่น ๆ นั้น ไทยจะต้องทำความจริงให้ชัดเจนว่า ชาวกัมพูชาได้เข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย จับจองที่อยู่อาศัยที่ทำกิน หรือทำการต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จึงต้องมีการจับกุม ควบคุม ดำเนินคดี และส่งกลับประเทศต้นทางตามกฎหมายไทยและตามกติกาสากล  

หากไม่มีการยืนยันและดำเนินการตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ก็จะเท่ากับว่าเรื่องที่เป็นความจริงนี้ เป็นเรื่องที่ไม่จริงจัง และในที่สุดไทยก็จะกลายตัวตลกเอง ซึ่งก็จะทำให้สิ่งไทยพูดไว้ในเวทีสหประชาชาติดังกล่าวไม่มีความหมายอีกต่อไป

 

4) อย่าดูถูกประชาชน - จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวไทยโดยสำนักต่าง ๆ มีความชัดเจนว่าประชาชนต้องการเห็นการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ โดยเฉพาะการจัดการกับชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาอย่างจริงจัง เช่น การส่งกลับ รวมทั้งต้องการเห็นการจัดการเรื่องพรมแดนให้เรียบร้อย สร้างรั้ว รี้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเข้ามา หรือยกเลิก MOU เป็นต้น ซึ่งเป็นครั้งแรก ๆ ที่ประชาชนมีความต้องการของตนเองอย่างชัดเจนและเฉพาะเรื่องในนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ

ดังนั้น รัฐจะต้องให้ความสำคัญต่อความต้องการและความรู้สึกของประชาชนในเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจควบคู่กันไป (เช่นเรื่อง MOU ก็ควรจะให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมของ "คณะกรรมการวิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา" ที่ประชุมกันทุกวันพุธ เวลา 09.30 - 12.00 น. ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้ครบถ้วน) โดยอย่ามองว่าประชาชนไม่เข้าใจหรือไม่มีความรู้ เพราะทุกวันนี้ใครก็สามารถหาความรู้จากสื่อสมัยใหม่ได้ไม่ยาก

 

 

โดยสรุป เมื่อเริ่มเดินหน้านับหนึ่งในการแก้ไขปัญหากัมพูชาแล้ว ก็ต้องมีเอกภาพจริง และต้องเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตโดยไม่ทำผิดซ้ำ สงครามกัมพูชา-ไทยจึงจะยุติลงได้ตามเงื่อนไขที่ชาวไทยต้องการ

 

ภาพซ้อน 3 มิติกับ 4 เรื่องที่ไม่ควรทำ: เริ่มนับหนึ่งจัดการชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทย?

 

ภาพและข้อมูลจาก เพจเฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn