
8 ตุลาคม 2568 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบายแก่บุคลากร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) สาขา นครศรีธรรมราช โดยระบุว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ เป็นศูนย์กลางของภาคใต้ตอนบน ที่มีฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ทั้งเกษตรกรรม การแปรรูปสินค้าเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมถึงเป็นแหล่งพลังงานชีวมวล และอุตสาหกรรมอาหารที่สำคัญของประเทศ สามารถต่อยอดสู่ตลาดระดับประเทศและตลาดโลกได้ หากได้รับการสนับสนุนด้านทุน ความรู้ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม
ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมจึงกำหนดการดำเนินงานภายใต้นโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” SME D Bank จึงต้องทำหน้าที่เป็นทั้ง “คู่คิด” และ “คู่พัฒนา” เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยสามารถยืนได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคง
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายธนกรร่วมพิธีเปิดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการ “ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนสู่ความยั่งยืน” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ ศาลาประชาคมอำเภอจุฬาภรณ์ หมู่ที่ 4 ตำบลสามตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี นายสมชาย ลีหล้าน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้การต้อนรับ
นายธนกร กล่าวช่วงหนึ่งว่า โครงการ “ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนสู่ความยั่งยืน” เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง มีรายได้มั่นคง และสามารถเติบโตได้ด้วยศักยภาพของตนเอง โครงการนี้คือการสร้างโอกาสให้ชุมชนได้เรียนรู้ ลงมือทำจริง และนำองค์ความรู้ไปต่อยอดเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ทั้งในด้านการผลิต การตลาด การบริหารจัดการ และการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้เศรษฐกิจชุมชนของไทยเติบโตอย่างมั่นคงจากฐานรากอย่างแท้จริง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจเข้มแข็งจากฐานราก เพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงการพัฒนาอย่างเท่าเทียม เพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากของไทยเติบโตอย่างมั่นคง และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
จากนั้นเวลา 17.00 น. นายธนกร ร่วมพิธีเปิดงานโครงการจัดงานประเพณีชักพระ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ ที่ว่าการอำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยนายธนกร กล่าวว่า งานประเพณีชักพระ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ถือเป็นประเพณีสำคัญของพี่น้องชาวภาคใต้ สะท้อนถึงความศรัทธา ความสามัคคี และภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรรักษาไว้ให้คงอยู่คู่สังคมไทย การจัดงานในวันนี้นอกจากจะเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมอันดีงาม ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ และความร่วมมือของคนในชุมชน รวมทั้งช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโต ควบคู่กับความยั่งยืนทางสังคมและวัฒนธรรม ยืนยันว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก และเศรษฐกิจวัฒนธรรม เพราะเชื่อว่าวัฒนธรรมคือพลังสำคัญในการสร้างอาชีพ รายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
นายธนกร ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัส วงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท ด้วยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีแนวคิดที่จะดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนที่มีกำลังซื้อ ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ และเพิ่มสภาพคล่องให้กับร้านค้ารายย่อยต่างๆ เชื่อว่าการตัดสินใจของท่านนายกฯ เป็นการตัดสินใจที่ถูกใจประชาชนอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาโครงการคนละครึ่งได้รับการชื่นชมจากประชาชนอย่างมาก เกิดการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ หลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จนทั่วโลกให้การยอมรับมาแล้ว
สำหรับมาตรการป้องกันการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น นายธนกร กล่าวว่า อยากขอให้ประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ท่านนายกฯ ตั้งไว้คือ บรรเทาความเดือดร้อน ด้วยการลดภาระค่าจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ดังนั้น ห้ามคิดทุจริต เช่น แลกเป็นเงินสด อย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย หากรัฐบาลตรวจสอบพบว่า มีการทุจริตเกิดขึ้น จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา รวมถึงให้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับทางราชการ และถูกเพิกถอนสิทธิอีกด้วย เพราะท่านนายกฯ เด็ดขาดกับคนทุจริตอย่างแน่นอน
"หากต้องการให้รัฐบาลดำเนินโครงการดีๆ แบบนี้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ก็ขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ แม้เวลาของรัฐบาลชุดนี้ จะมีเวลาทำงานแค่ 4 เดือน แต่สิ่งดีๆ ที่ท่านนายกฯ คิดทำเพื่อประชาชนนั้น จะต้องถูกพูดถึงไปอีกนาน" นายธนกร กล่าว