
แค่มีแนวคิดจะทำประชามติสอบถามประชาชนคนไทยทั้งประเทศว่า ต้องการให้ยกเลิก “MOU 43 และ MOU 44” หรือไม่
ยังไม่ต้องลงเนื้อหา ก็มีความเห็นหลากหลายกันแล้ว โดยเฉพาะการจะทำให้การเลือกตั้งหนนี้ มีบัตรลงคะแนนถึง 4 ใบ เพราะจะทำประชามติพร้อมวันเลือกตั้ง สส. นั่นก็คือ
- บัตรเลือกตั้ง สส.ระบบแบ่งเขต
- บัตรเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ
- บัตรออกเสียงประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจมีหลายคำถาม เพราะจะรวมการทำประชามติครั้งที่ 1 กับ 2 เข้าด้วยกัน
- บัตรออกเสียงประชามติยกเลิก MOU 43-44 หรือไม่
หลายฝ่ายกังวลว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยและคนไทย อาจทำให้สับสน และ “บัตรเสียพุ่ง” แต่อาจารย์บวรศักดิ์ แย้งว่า คนไทยฉลาด และ กกต.ต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน ก็์ต้องช่วยกันให้ข้อมูลแก่พี่น้องประชาชน
สอบถามไปยัง ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า เพื่อขอข้อมูลว่า บ้านอื่นเมืองอื่นเขามีการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง หรือบัตรเลือกตั้งเขามีหลายๆ หน้า หลายๆ บัตร เหมือนที่เรากำลังจะทำหรือไม่
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ
คำตอบจาก อาจารย์สติธร ก็คือ มีหลายประเทศที่บัตรเลือกตั้งมีหลายหน้า บางประเทศมากถึง 8 หน้า เช่น ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศในภูมิภาคเดียวกับไทย คือ เพื่อนบ้านอาเซียนด้วยกัน หรืออย่างเลือกตั้งอเมริกา บัตรเลือกตั้งก็มีหลายหน้า หลายแผ่น
บัตรเลือกตั้งฟิลิปปินส์
ส่วนในเยอรมนี บัตรเลือกตั้งหนาจนเหมือนเป็นสมุดเล่มเล็กๆ กันเลยทีเดียว
สาเหตุที่บัตรเลือกตั้งในประเทศเหล่านี้มีความหนา และมีหลายหน้า เนื่องจาก กำหนดวันเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ พร้อมกับการเลือกตั้ง สส. หรือเลือกตั้งระดับชาติ / บางประเทศมีระบบประธานาธิบดี ก็เลือกไปพร้อมกันเลย
ส่วนสหรัฐอเมริกา มีเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกา เลือกผู้ว่าการรัฐ สมาชิกสภามลรัฐ ก็เลือกพร้อมกัน ทำให้บัตรเลือกตั้งมีหลายหน้า
ตัวอย่างบัตรเลือกตั้งของอเมริกา อัดทุกอย่างอยู่ในใบเดียว / ด้านล่างขวา มีให้พลิกหน้าต่อไป
ฟิลิปปินส์ก็ได้ระบบของอเมริกามา เลือกตั้งแต่ละครั้ง บัตรเลือกตั้งมีความยาวถึง 7-8 หน้า เลือก สว. สส. ประธานาธิบดี และสมาชิกสภาท้องถิ่นพร้อมกันหมด
ส่วนปัญหาเรื่องบัตรเสีย ในประเทศเหล่านี้ มีอัตราสูงกว่าปกติหรือไม่นั้น อาจารย์สติธร บอกว่า สรุปได้ยาก เนื่องจากระบบการเลือกของประเทศเหล่านั้นไม่เหมือนไทย กล่าวคือ
- ไทยเน้นตัวเลข ทำให้เกิดความสับสนในการจำเลย หนำซ้ำเลขผู้สมัคร กับเลขพรรคที่สังกัด ก็เป็นคนละเลขด้วย
- ต้องกาในช่องสี่เหลี่ยมเท่านั้น ถ้าเป็นบัตรประชามติ ก็มีช่องเห็นด้วย กับไม่เห็นด้วย คือมีช่องให้กา
- ของไทยมีการกำหนดกติกาว่า ถ้ากาไม่ตรงช่อง ไม่เต็มช่อง ไม่ใช้เครื่องหมายกาบาท ก็ถือเป็นบัตรเสีย เช่น ใช้เครื่องหมายถูก ก็ไม่ได้ หรือไปกาทับเลข ก็ไม่ได้
กติกาเหล่านี้ทำให้ ปริมาณบัตรเสียของไทยมีมาก ทั้งๆ ที่ีควรจะดูเจตนาของผู้เลือกมากกว่า เช่น การกาทับเลข หรือใช้เครื่องหมายอื่น ก็น่าจะเป็น “บัตรดี” มากกว่า “บัตรเสีย”
สำหรับในต่างประเทศ...
- บัตรเลือกตั้ง สส. หรือผู้แทนระดับต่างๆ จะมีชื่อผู้สมัครชัดเจน ทำให้ประชาชนไม่ต้องจำแต่เลข จนเกิดความสับสน เพราะประชาชนมักจำชื่อได้มากกว่า
- วิธีลงคะแนนมีหลายแบบ ทั้งแบบกากบาท หรือทำเครื่องหมายแสดงเจตนา / แบบใช้เครื่อง / แบบเจาะรู ทั้งหมดนับเป็น “บัตรดี”
- ต่างประเทศจะใส่ข้อมูลลงในบัตรเลือกตั้งให้มากที่สุด เพื่อป้องกันความสับสน แต่ของไทยใส่น้อยที่สุด แม้แต่ชื่อผู้สมัครก็ไม่มีใส่ มีแต่เลข เหมือนจะง่าย แต่จริงๆ ทำให้ยาก สับสน และเป็นบัตรเสีย
อาจารย์สติธร ทิ้งท้ายว่า เราอาจจะไม่คุ้นกับการทำบัตรเลือกตั้งแบบมีหลายๆ หน้า เพราะ เราเน้น “แยกบัตร” แต่ของประเทศอื่นจะรวมอยู่ในบัตรเดียวกัน แพ็กในเล่มเดียวกัน วิธีการลงคะแนน เราเน้นการทำเครื่องหมาย แต่กลับให้ข้อมูลบนบัตรน้อยเกินไป และมีกติกามาก พูดง่ายๆ คือ เราดีไซน์บัตรเลือกตั้งให้เเป็นบัตรเสียง่าย เหมือนจะอำนวยคาวมสะดวก แต่เสียง่าย สถิติบัตรเสียจึงสูง