
นาทีนี้ “พรรคสีน้ำเงิน” โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดโฉมหน้า ครม.อนุทิน1 เรียกกระแสความนิยมในจังหวะแรกจาก “ครม.คนนอก” ที่ดีกรีและโปรไฟล์ได้รับการยอมรับ เตรียมนโยบายประชานิยมในแบบที่โดนใจประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยทำไม่ได้ เช่น
เลือกหยิบผลงานที่ประสบความสำเร็จในอดีต มาปัดฝุ่นใหม่ อย่าง “โครงการคนละครึ่ง” โดยเลือกหยิบมาทำในช่วงเศรษฐกิจแย่ และเพื่อไทยล้มเหลวจากนโยบายแจกเงินหมื่น จึงทำให้ประชาชนพอใจ “คูณ 2” ส่งผลทางจิตวิทยาการเมืองแรงมาก
รวมทั้งเตรียมจัดการปัญหากัมพูชาให้สำเร็จ พร้อมๆ กับสร้างกระแสชาตินิยมต่อเนื่อง
ประเมินว่าหากทำสำเร็จ จะมีเสียงเรียกร้องไม่ให้ยุบสภา ประชาชนอยากให้อยู่ยาว เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน โดยเฉพาะหากสร้างความเชื่อมั่นเรื่องเศรษฐกิจได้จริง
ความท้าทายรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ซึ่งกำลังตั้ง ครม.อนุทิน1 ก็คือ ความขัดแย้งกับพรรคประชาชน หรือ “พรรคสีส้ม”
ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติ กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้น หรือ นับหนึ่งความขัดแย้ง รวมถึง “นับถอยหลัง” การเผชิญหน้ากันระหว่างพรรคภูมิใจไทย หรือรัฐบาลภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน
โดยมติศาลรัฐธรรมนูญสรุปว่า ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติโดยเสียงข้างมาก 5 : 2 วินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชน ออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน
โดย การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติหมวด 14 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
ทั้งนี้ ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 5 คน เห็นว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รัฐสภาไม่มี อำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เว้นแต่จัดให้มีการออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ประเด็นที่ 2 ศาล รธน. มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชน ออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่
อนึ่ง การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้
หลังศาล รธน. มีคำวินิจฉัย จึงเห็นร่องรอยที่มองเห็นเค้าลางความขัดแย้ง คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒ หัวหน้าพรรคประชาชน เปิดแถลงกดดัน “นายกฯหนู” ทันที ทั้งๆ ที่ยังมีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่อง “ส.ส.ร.” ที่ต้องตีความ และหาทางออกร่วมกัน แต่พรรคประชาชนดึงดัน ให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ
ขณะที่ นายกฯหนู ยังรักษาทรง ด้วยการตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาแนวทาง นำโดย คุณไชยชนก ชิดชอบ
ความเห็นต่างจะมีอย่างชัดเจน เพราะ นายนิกร จำนง สส.ลายครามของพรรคชาติไทยพัฒนา มองว่า การตั้ง ส.ส.ร. จากการเลือกตั้งทางตรง “ทำไม่ได้” และหากฝืนทำ เช่น ไปถามประชามติ โดยใช้คำถามเปิดทางให้ตั้ง ส.ส.ร. จากการเลือกตั้ง 100% ก็จะมีมือดี ไปยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีก เป้าหมายเพื่อ “ตีตก”
ด้าน ท่าทีของ “สว.สีน้ำเงิน” ยืนยันว่า ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด และออกตัวทันทีว่า สว.ไม่เกี่ยวอะไรกับการตั้งรัฐบาลภูมิใจไทย
“ข่าวข้นคนข่าว เนชั่นทีวี” รวบรวมความวุ่นวายทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นตามมา เริ่มจากคำวินิจฉัยของศาล รธน. ทำให้ปัญหานี้จบหรือไม่จบ? คำตอบคือไม่จบ และมีแนวโน้มความเห็นต่างระหว่างพรรคประชาชน กับรัฐบาลภูมิใจไทย
จับตาความเห็น สว. เพราะเป็นอีก 1 ด่าน ในการแก้มาตรา 256 คือ บทบัญญัติที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาเป็น 3 วาระ และเงื่อนไขที่สำคัญ ที่กำหนดว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ต้องผ่านการลงประชามติในบางกรณี ซึ่งต้องอาศัยเสียง 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง ที่สนับสนุนร่างแก้ไข (กรณีพรรคประชาชนเสนอร่าง) แต่ สว.แสดงท่าทีชัดว่าไม่เอาด้วย รวมทั้งมีช่องให้ “นักร้อง” ยื่นตีความสกัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดย แค่ตั้งคำถามประชามติ ก็น่าจะถกเถียงกันหนักแล้ว เรื่องนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นแรงกดดันของพรรคส้ม ต่อ “ค่ายสีน้ำเงิน” นานวันไป มีโอกาสแตกหักสูง โดยเฉพาะเมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเต็มตัว และมีอำนาจเต็มมือ ก็จะมีกระบวนการทำให้ตัวเองมีเสียงข้างมาก หรือใกล้เคียงข้างมากให้มากที่สุด เพื่อจะได้เลิกยืมจมูกพรรคส้มหายใจ คำตอบสุดท้าย คือ อนาคตอยู่ที่ใครกำหัวใจประชาชน
ขณะเดียวกัน การเมืองสามก๊ก จากฝั่ง “พรรคสีส้ม” หรือ พรรคประชาชน” จนถึงปัจจุบันยังวุ่นวายกับการอธิบายความ ว่าเหตุใดต้องโหวตหนุนพรรคภูมิใจไทย โดยตัวเองไม่เข้าไปร่วมบริหาร หรือแสดงฝีมือ เรื่องนี้กลายเป็นความเสี่ยง และบ่อนเซาะพรรคประชาชน มีการชี้แจงกันภายในว่า การที่ยอมดีลกับค่ายสีน้ำเงิน ก็เพื่อหวังผล “แก้รัฐธรรมนูญ”
ผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม มีความเชื่อว่า รัฐธรรมนูญ หรือ กติกา คือจุดเริ่มต้นของปัญหาทุกอย่างในทางการเมือง จึงต้องการออกแบบใหม่ แต่การติดกับดักเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เหมือนเรื่อง 112 จะทำให้พรรคไม่โตหรือไม่ เป็นเรื่่องน่าคิด
มีความท้าทายเรื่องดีล “44 สส.” ให้รอดคดีมากที่สุด แต่จริงๆ แล้ว กำลังติดกับดักเกมของผู้มีอำนาจ ถ้ารอด แฟนคลับจะเชื่อว่ามีดีล และถูกวางบิล ทวงบุญคุณได้ตลอดเวลา ถ้าไม่รอด ก็คือถูกหลอก ทำอะไรไม่ได้
สุดท้าย “ส้ม สมหวัง” หรือ “พังกว่าเดิม” แต่โอกาสของพรรคส้ม คือสร้างแรงกดดันกับพรรคน้ำเงิน ด้วยการ “ดีลซ้อน” กับพรรคสีแดงนั่นเอง