
5 กันยายน 2568 ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พรรคประชาชนในลงมติ รับรอง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ว่า เท่ากับพรรคประชาชนทำหน้าที่เป็น “สารฟอกขาว” โดยสมบูรณ์ ให้กับพรรคการเมืองที่ถูกสังคมตั้งคำถาม เพราะไม่เพียงแต่ถูกครหา คดีฮั้ว สว. หากยังพัวพันกับคดีที่ดินเขากระโดง ทั้งหมดสะท้อนความไม่สง่างามในการดำรงตำแหน่ง ทั้งความโปร่งใสและการขาดความน่าเชื่อถือที่ยังคาราคาซังอยู่ของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน
ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ข้ออ้างที่ว่าพรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ฉีก MOU ไม่รวมกับพรรคก้าวไกล ตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2566 ล้วนมาจาก พรรคก้าวไกลรวมเสียง สว.ไม่ได้ และพรรคภูมิใจไทยไม่ยอมรับเงื่อนไขการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคประชาชน ดังนั้น หากวันนี้เมื่อพรรคประชาชน เลือกที่จะยกมือให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เท่ากับการหันหลังให้ประชาชน และไม่ได้ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่หลักเกณฑ์ประชาธิปไตย แต่พรรคประชาชนกลับหันหลังให้การยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาขน แต่ทำหน้าที่เป็นนั่งร้านให้พรรคภูมิใจไทยแทน
ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า การกล่าวอ้างเพื่อไทยมีดีลลับกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เป็นข้อกล่างอ้างที่เลื่อยลอย บิดเบือนสังคม เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรีแล้ว ไม่มีทางคิดกลับมารับตำแหน่งทางการเมือง
แต่ดีลลับ กรณีพรรคประชาชนอาจมีใช่หรือไม่ เพราะหลายฝ่ายตั้งคำถาม กรณี 44 สส. พรรคประชาชน ที่กำลังถูก ปปช. กดดันอย่างหนัก ยิ่งเห็นชัดในข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) ท้้ง 5 ข้อจากพรรคประชาชน ก็เน้นแต่อำนาจทางการเมือง แต่กลับไม่มีเงื่อนไขข้อใดใส่ใจดูแลปากท้อง ยาเสพติด หรือการยกระดับคุณภาพการศึกษา เพราะสำหรับประชาชน รัฐธรรมนูญสำคัญไม่เท่าปัญหาปากท้อง ข้อเสนอ ทั้ง 5 ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ คำว่ารักประชาชน จึงเป็นเพียงคำลวงๆ เพื่อสร้างความชอบให้ดีลลับเกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่
“พรรคประชาชนเมินการยุบสภาฯ ทันทีหลังข้อเสนอพรรคเพื่อไทย ดังนั้น ดีลลับเดียวที่มีจริง ไม่ใช่เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน แต่คือการเป็นนั่งร้าน ฟอกขาวให้พรรคภูมิใจไทย แลกชะตากรรมที่เลื่อนลอย” ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าว