
2 กันยายน 2568 อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระชาวไทย ซึ่งพำนักอยู่ที่รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ระบุว่า
อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระชาวไทย ซึ่งพำนักอยู่ที่รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา
นอกเหนือจากข้ออ้างของพรรคสีส้มว่า "จำเป็นต้องเลือกสีน้ำเงินหรือสีแดงเพื่อให้มีนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจมายุบสภาภายในสี่เดือนและปิดกั้นหนทางไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ รวมทั้งรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ"
อย่างไรก็ตามเป้าหมายลึกของสีส้ม คือ "จะต้องชนะได้เสียงข้างมาก 250+ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป"
คาดว่า “สีส้มจะเลือกสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของสีแดง” โดยเหตุผลคือ
1) หากสนับสนุนสีน้ำเงิน สีส้มอาจไม่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง
โอกาสที่สีส้มจะได้ 250+ ที่นั่งขึ้นไปในการเลือกตั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2569 นั้นจะเป็นไปได้ยากมาก
ทั้งนี้เนื่องจาก
1.1 พรรครัฐบาลได้เปรียบในการเลือกตั้ง ;
หลายกระทรวงจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับอิทธิพลและผลประโยชน์
เพื่อเตรียมทรัพยากรการเงินและทรัพยากรมนุษย์ในการเลือกตั้ง
สีน้ำเงินและพันธมิตรในรัฐบาลชั่วคราวจะคุมกระทรวงยุทธศาสตร์
และอาจได้ถึง 130-150 ที่นั่ง
และอาจช่วงชิงการฟอร์มรัฐบาลได้ก่อนพรรคอื่น
กระทรวงมหาดไทยจะอยู่ในการควบคุมของพรรคกล้าธรรม ภายใต้การนำของธรรมนัสที่มีวิธีการหาเสียงแบบบ้านใหญ่ ซึ่งจะตัดกำลังของสีส้มในหลายจังหวัด
กระทรวงคมนาคมจะอยู่ในการควบคุมของตระกูลชิดชอบ
กระทรวงแรงงานจะอยู่ในการควบคุมของสุชาติ
และสังคมอาจประณามว่าการที่รัฐมนตรีที่มีมลทินเข้ามารับตำแหน่งได้เพราะสีส้มเลือกอนุทิน
1.2 สังคมผิดหวังเรื่องการปราบคอรัปชั่นและจะลงโทษสีส้ม
ประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็นความยุติธรรมเรื่อง "ที่ดินเขากระโดง และ ฮั้วส.ว."
หากสีน้ำเงินเป็นรัฐบาลก็อาจจะทำให้เรื่องนี้ช้าลงหรือคดีถูกแปรรูป
ซึ่งสองเรื่องนี้สวนทางกับอุดมการณ์ของพรรคสีส้มที่เน้นการปราบปรามคอรัปชั่นและปกป้องระบอบประชาธิปไตย
ส่วนจะอ้างว่าเป็นคดีที่อยู่ในระบบยุติธรรมเรียบร้อยแล้วและไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงได้นั้น ก็จะย้ำให้ประชาชนเห็นว่า "สีส้มขาดวุฒิภาวะและถูกหลอกอีกครั้ง เนื่องจากผู้ที่เป็นรัฐบาลสามารถจะแทรกแซงได้เสมอ"
1.3 สีน้ำเงินจะโดดเด่นเป็นหลักของฝ่ายอนุรักษ์นิยมและอำนาจนอกระบบ
สีน้ำเงินจะได้โมเมนตัมจากการชิงไหวชิงพริบได้เสียงสนับสนุนจากสีส้มเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ และที่สำคัญคือได้พิสูจน์ในครั้งนี้ว่าสามารถจะชนะเกมการเมืองของสีแดงได้เด็ดขาด จึงทำให้องค์กรอิสระและอำนาจนอกระบบเอนเอียงมาเทสนับสนุน และยอมรับว่า ‘สีน้ำเงินคือตัวจริงที่จะเป็นด่านสกัดการเติบโตของพรรคสีส้ม’
สีน้ำเงินจะผงาดขึ้นมาเป็นหลักของฝ่ายอนุรักษ์นิยมและอำนาจนอกระบบ (deep state) ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขัดขวางการเป็นรัฐบาลของสีส้มในปีพ.ศ. 2566 นั่นเอง
ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ทั้งการเมืองเศรษฐกิจและส่วนตัวระหว่างสีน้ำเงินกับสีแดงเพิ่มความรุนแรงขึ้นจนทำงานร่วมกันไม่ได้อีกแล้ว
สีน้ำเงินจะใช้อำนาจของรัฐบาลเอาคืนต่อสีแดง เช่นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ และนิติสงครามต่างๆ
ส.ส. ในภาคอีสานของสีแดงอาจย้ายพรรค และ ส.ส. ภาคใต้ของพรรคประชาชาติจะสั่นคลอน
สีแดงอาจแตกเป็นหลายกลุ่ม
บางกลุ่มอาจจะถูกดูดมารวมกับสีน้ำเงิน
คาดว่า สีแดงอาจจะได้ประมาณ 80 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า
2) หากสนับสนุนสีแดง สีส้มจะชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง
2.1 ใช้สีแดงคุมสีน้ำเงิน หมายถึง ตัดกำลังทั้งสองพรรค
เมื่อสีแดงได้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจต่อไปอีกระยะหนึ่งจะทำให้สามารถควบคุมอิทธิพลของสีน้ำเงินให้อยู่ในวงจำกัด โดยเฉพาะเรื่องคอรัปชั่นและการทำลายระบอบประชาธิปไตยในวุฒิสภา ฯลฯ
การที่สีแดงและสีน้ำเงินสู้กันในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะทำให้ทั้งสองพรรคการเมืองไม่มีเสียงเพียงพอที่จะเป็นผู้นำตั้งรัฐบาล
สองปีที่ผ่านมาทำให้สองพรรคนี้แตกร้าวกันจนประสานไม่ได้ จึงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะรวมพลังกันต่อต้านพรรคสีส้มได้อีกต่อไป
2.2 สีแดงจะไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวและจะไม่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง
ความหวังของสีแดงที่จะชนะเป็นที่หนึ่งในการเลือกตั้งนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
เนื่องจากมลทินกรณีพิพาทกับกัมพูชา ทำนโยบายตามที่หาเสียงไว้ไม่ได้ ล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ ไม่ประสบความสำเร็จในการปั้นคนรุ่นใหม่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางโซเชียลมีเดียเหนือกว่าสีส้ม และความเบื่อหน่ายกับตระกูลชินวัตร เป็นต้น
แคนดิเดตของสีแดง คือนายชัยเกษม เหมาะสมกับการเป็นผู้นำเฉพาะกิจชั่วคราว
และไม่เป็นอันตรายในอนาคต เนื่องจากอายุ สุขภาพและบุคลิกอื่นๆ
สรุป -
หากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปีพ.ศ. 2569 อยู่ภายใต้เงื่อนไขข้างต้น
ประเมินว่า
-สีแดงอาจได้ประมาณ 80 ที่นั่ง
-สีน้ำเงินได้ 80 ที่นั่ง
-กล้าธรรมได้ 50 ที่นั่ง และ
-สีส้มจึงมีโอกาสมากที่จะได้ 250+ที่นั่งและได้เป็นรัฐบาลในที่สุด