
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พบหารือกับนางสาวอิชิกาวะ โทมิโกะ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรญี่ปุ่น ประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ ประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 และนางสาวแคโรลีน-เมลานี เรกิมบัล หัวหน้าสำนักงานกิจการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODA ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการประชุมร่วมกัน3 ฝ่าย ในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายใต้อนุสัญญาออตตาวาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เพื่อหารือถึงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา และรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา ที่เป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา โดยได้ใช้เวลาในการหารือร่วมกันประมาณ 40 นาที พร้อมยังได้เข้าร่วมหารือกับสมาชิกรัฐภาคีตามอนุสัญญาออตตาวา อาทิ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส, นอร์เวย์, เยอรมนี, เบลเยี่ยม และผู้แทนของสหภาพยุโรป เป็นต้น โดยในกลุ่มนี้ มีประเทศผู้บริจาคแก่กัมพูชา ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้วย
นายมาริษ ยังได้เปิดเผยภายหลังการหารือกับสมาชิกรัฐภาคีออต ตาวาว่า รัฐภาคีสนใจรับฟังถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนได้แสดงหลักฐานต่าง ๆ ที่ไทยประสบปัญหาการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชา การละเมิดอำนาจอธิปไตย ที่กัมพูชาเข้ามาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะล่าสุดเมื่อเช้าวานนี้ (27 ส.ค.) ได้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 ซึ่งทุกประเทศ ก็แสดงความเสียใจ ที่เหตุการณ์ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก ซึ่งตนได้ใช้โอกาสนี้ ยื่นประท้วงและเรียกร้องให้รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ร่วมกันเรียกร้องให้กัมพูชามาชี้แจงในสิ่งที่เกิดขึ้นตามบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และถือเป็นโอกาสดี ที่ตนได้ยื่นหลักฐานที่มีน้ำหนัก และข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการตามกลไกอนุสัญญาออตตาวา
นายมาริษ ยังยืนยันว่า ทุกภาคส่วนให้ความชื่นชมบทบาทประเทศไทยเป็นอย่างมาก แม้ไทยเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ไทยใช้มาตรการตอบโต้ที่เป็นมืออาชีพ อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และได้สัดส่วนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งสิ่งที่ไทยกระทำมาโดยตลอด ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายของพลเรือน แต่เป็นการมุ่งเป้าหมายไปที่ทหารเพื่อยุติการรุกรานของกัมพูชา โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ที่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นไปตามกฎบัตรของอาเซียน ที่ใช้สิทธิตอบโต้การโจมตีการรุกรานของกัมพูชาบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และใช้ความพยายามยับยั้งชั่งใจ ซึ่งประเทศที่เป็นสมาชิกของ รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา เช่น ทูตนอร์เวย์ เยอรมัน เบลเยี่ยม เปรู ได้พูดชัดเจน และขอบคุณประเทศไทย ที่ใช้ความ ยับยั้งชั่งใจ ไม่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อจำกัดการสูญเสีย หรือจำกัดปฏิบัติการให้อยู่ในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และทุกประเทศภาคีสมาชิกก็ได้ ยืนยันว่า จะช่วยเหลือและผลักดันให้กระบวนการพิจารณาภายใต้กรอบอนุสัญญาออตตาวา เป็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และขณะนี้ ต้องการคำชี้แจงจากกัมพูชา เกี่ยวกับเหตุการณ์ละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และละเมิดข้อตกลงอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งการเกิดปัญหาครั้งล่าสุด ทำให้เห็นชัดว่า คำเรียกร้องของไทย และหลักฐานต่าง ๆ ที่ใช้ตั้งแต่ต้นมีน้ำหนักมาก เพราะยังคงเกิดการละเมิดบูรณะภาพแห่งดินแดน และละเมิดข้อตกลงขององค์กรสหประชาชาติอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา
ส่วนเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ บริเวณปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ในเขตแดนของไทย จนทหารไทยได้รับบาดเจ็บขาขวาท่อนล่างขาดล่าสุดนั้น นายมาริษ ย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะต้องมีการออกแถลงการณ์ประท้วงต่อไป ซึ่งตนที่อยู่ที่เจนีวา ก็ได้นำเรื่องนี้พูดในที่ประชุมให้เข้าใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเป็นสิ่งที่ไทยเรียกร้องกับกัมพูชามาโดยตลอด
:: เปิดคำชี้แจง “มาริษ” ต่อผู้แทนภาคีออตตาวา – ย้ำทุ่นระเบิดกัมพูชาเป็นของใหม่-กัมพูชามีไว้ในครอบครอง – เผยไทยพร้อมร่วมโครงการรณรงค์ระดับโลกเพื่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดของ UN ::
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมการประชุมกับผู้แทนของประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา ที่สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้านมนุษยธรรมของโลก และเป็นที่ตั้งถาวรของสำนักงานอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่รู้จักกันในนาม “อนุสัญญาออตตาวา” ว่า เมื่อผมเดินทางเข้าสู่สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา ได้ผ่านประติมากรรมเก้าอี้หัก (Broken Chair) ซึ่งย้ำเตือนว่า อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล มิใช่เป็นเพียงสนธิสัญญาเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงร่วมกันของมนุษยชาติ ที่จะยุติความทุกข์ทรมานจากหนึ่งในอาวุธที่ไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้น
อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และการลดอาวุธ แต่เพื่อให้ความสำเร็จนี้คงอยู่ต่อไปได้ คุณค่าของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจะต้องได้รับการพิทักษ์และปฏิบัติตามอย่างจริงใจ ในฐานะประเทศที่มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า และสนับสนุนการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมอย่างแข็งขัน ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทย ได้ทำการกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่าร้อยละ 99 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางกิโลเมตร เปลี่ยนพื้นที่เหล่านี้ให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” และฟื้นฟูวิถีชีวิตของชุมชนของ
ความพยายามดังกล่าว ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงจากประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ในการแสดงปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งได้ชื่นชมประเทศไทยที่สามารถ “ลดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดจาก 350 รายในช่วงปี 2542-2543 เหลือเพียง 24 รายในปี 2554” และในปี 2567 ไม่พบผู้เสียชีวิตจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดเพียง 3 ราย ซึ่งประเทศไทย ได้เก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนกับกับมาเลเซีย เมียนมา และ สปป.ลาว แล้ว โดยพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดที่เหลืออยู่ประมาณ 12.8 ตารางกิโลเมตร อยู่ตามแนวชายแดนกับกัมพูชา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศไทย ได้พยายามผลักดันความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกับกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
นายมาริษ ยังระบุว่า เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ประเทศไทย กำลังเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ประเทศไทย ไม่เคยต้องการให้เกิดขึ้นและไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม เมื่อทหารไทยสูญเสียขาจากทุ่นระเบิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามปกติ ในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมา มีการค้นพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมใกล้จุดเกิดเหตุ โดยมีเครื่องหมายโรงงานชัดเจนและไม่พบวัชพืช หรือรากไม้ แสดงให้เห็นว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ และเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่า ทุ่นระเบิดทั้งหมดนี้เพิ่งถูกวางเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทุ่นระเบิดเหล่านี้คือทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ซึ่งเป็นอาวุธที่กัมพูชามีไว้ในครอบครองตามรายงานความโปร่งใส (Transparency Report) ของกัมพูชาเอง ขณะที่ประเทศไทยไม่มีทุ่นระเบิดไม่ว่าประเภทใดอยู่ในครอบครองแล้ว
ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เกิดเหตุการณ์อีกครั้ง ตนจำได้อย่างชัดเจนว่า ขณะนั้น ตนอยู่ที่นครนิวยอร์ก และกำลังจะเข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติ จึงได้แจ้งให้เลขาธิการสหประชาชาติ ทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งไทยประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกัมพูชา พร้อมอธิบายถึงมาตรการสันติวิธีที่ประเทศไทยดำเนินการเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้
จุดเปลี่ยนของสถานการณ์เกิดขึ้นในวันถัดมา คือวันที่ 24 กรกฎาคม เมื่อกัมพูชาได้โจมตีข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศไทย บริเวณพื้นที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ตามมาด้วยการโจมตีด้วยอาวุธหนัก ซึ่งรวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนพลเรือนของไทย โดยโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาล และร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีพลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต รวมถึงเด็ก
ประเทศไทย ได้โต้ตอบด้วยการป้องกันตนเองตามความจำเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้ขอบเขตที่จำกัดและมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด โดยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ แต่การโจมตียังคงดำเนินต่อไป แม้หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ณ เมืองปุตราจายา โดยการอำนวยความสะดวกของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน – ข้อตกลงซึ่งกัมพูชาได้ละเมิด
ต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารือกันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สมัยวิสามัญ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ตกลงการหยุดยิงที่ครอบคลุมอาวุธทุกประเภท รวมถึงทุ่นระเบิด ซึ่งประเทศไทยเคารพข้อตกลงนี้และมุ่งมั่นปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ดี ภายในเวลาไม่ถึง 5 วันหลังจากนั้น เกิดเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมสามครั้ง ในวันที่ 9 และ 12 สิงหาคม และครั้งล่าสุดคือเมื่อบ่ายวันนี้ (27 ส.ค.) จนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเหล่านี้ ทำให้ทหารไทยทุพพลภาพถาวร จำนวน 6 นาย นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิด PMN-2 ที่เพิ่งวางใหม่และที่ยังไม่ถูกใช้งาน พร้อมหลักฐานว่าทหารกัมพูชาได้รับการฝึกฝนในการวางทุ่นระเบิดประเภทดังกล่าว ซึ่งชี้ชัดว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกนำมาวางโดยกัมพูชา
การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างร้ายแรง รวมถึงละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และการกระทำดังกล่าว ยังเป็นการบ่อนทำลายเจตนารมณ์ของปฏิญญาและแผนปฏิบัติการเสียมราฐ–อังกอร์ ซึ่งได้รับการรับรองภายใต้การเป็นประธานของกัมพูชาเอง และถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซึ่งเป็นรากฐานของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ประชาคมระหว่างประเทศ ได้บรรลุความก้าวหน้าอย่างมากในความพยายามร่วมกันที่จะแก้ไขผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากทุ่นระเบิด และเหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นการคุกคามความก้าวหน้าที่เราได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก
นี่คือเหตุผลที่ประเทศไทย ตัดสินใจดำเนินการเรื่องนี้ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยไทยได้แจ้งประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 เพื่อให้ประเด็นนี้ได้รับการพิจารณาด้วยจิตวิญญาณแห่งการปรึกษาหารือและความร่วมมือ ภายใต้ข้อ 8 วรรค 1 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ยื่นคำร้องเพื่อขอรับความชัดเจนจากกัมพูชาผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ ตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลด้วย
นายมาริษ ยังย้ำว่า การขอรับความชัดเจนจากกัมพูชา ของประเทศไทยมีหลักฐานที่หนักแน่นรองรับ ในขณะเดียวกัน ประเทศไทย ได้เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อนำกัมพูชากลับสู่การปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างสมบูรณ์ และขอย้ำคำเรียกร้องต่อผู้เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ ในการดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ประเทศไทย ดำเนินการภายใต้กลไกของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ความพยายามในระดับทวิภาคียังคงดำเนินควบคู่กันไปเพื่อแก้ไขปัญหานี้ผ่านกลไกที่มีอยู่ ซึ่งรวมถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปและการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ซึ่งมีพัฒนาการเชิงบวกในประเด็นนี้
นายมาริษ ยังระบุว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 ส.ค.) ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค สมัยวิสามัญ กัมพูชาได้เห็นพ้องในหลักการที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยรายละเอียดของความร่วมมือดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปในเดือนหน้า ประเทศไทย หวังว่า ความร่วมมือนี้จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อฟื้นฟูสันติภาพ เก็บกู้ทุ่นระเบิด และขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมในการสร้างแนวชายแดนที่ปราศจากทุ่นระเบิด อย่างไรก็ดี เพื่อให้ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงและอย่างจริงใจ กัมพูชาจะต้องไม่ขัดขวางการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว 16 ครั้งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่กัมพูชาต้องไม่วางทุ่นระเบิดใหม่ และเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่กัมพูชาจะต้องไม่กระทำอื่นใดที่จะทำให้สถานการณ์บานปลาย รวมถึงการใช้สตรีและเด็กเพื่อบุกรุกเข้ามาในดินแดนไทย
นายมาริษ ยังมั่นใจว่า ประเทศไทยเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีผู้ใดควรต้องทนทุกข์ทรมานจากอาวุธที่ไร้มนุษยธรรมนี้ และประเทศไทยจะยังคงยึดมั่นในหลักการมนุษยธรรมซึ่งเป็นหัวใจของอนุสัญญาฉบับนี้ต่อไป ด้วยเหตุนี้ ตนจึงรู้สึกยินดีที่จะแจ้งให้ทราบในวันนี้ว่า ประเทศไทยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ระดับโลกเพื่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดของเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของเราเพื่อสนับสนุนให้ทุกประเทศทั่วโลกเข้าร่วมและปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างครบถ้วน ซึ่งการเข้าร่วมโครงการนี้ของประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่มีมาอย่างยาวนานของไทยต่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตลอดจนย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ต่อเนื่องของประเทศไทยต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล พร้อมยืนยันว่า ประเทศไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดผ่านโครงการนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาชีวิต ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปกป้องสิทธิมนุษยชน และขับเคลื่อนการพัฒนาและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและชุมชนของเรา และประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับสหประชาชาติ และทุกหุ้นส่วนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งคือ การบรรลุโลกที่ปราศจากทุ่นระเบิดเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต ดังที่ Jody Williams ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ก่อตั้งการรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด ได้กล่าวไว้ว่า “ทุ่นระเบิดไม่สามารถหยุดการรุกรานได้ ทุ่นระเบิดไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของสงครามได้ สิ่งที่ทุ่นระเบิดทำได้มีเพียงทำร้ายหรือพรากชีวิตประชาชนของตนเองเท่านั้น” และถึงเวลาแล้วที่อาวุธที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ต้องถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์และไม่ถูกนำกลับมาใช้อีก เพื่อความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และอนาคตของทุกคน รวมถึงเพื่อปกป้องและธำรงไว้ซึ่งคุณค่าของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล