
14 สิงหาคม 2568 พล.ท.พงศกร รอดชมพู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์กับเนชั่นทีวี ถึงสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
พล.ท.พงศกร ระบุว่า มีเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาทิ้งระเบิดเข้ามาในฝั่งไทยเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งกองทัพไทยมีความพร้อมที่จะตอบโต้ อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ต้องเป็นไปตามหลักการป้องกันตนเองโดยชอบธรรมตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ คือต้องสมเหตุสมผลและเหมาะสมกับสถานการณ์
พล.ท.พงศกร ชี้ว่าหากเป็นการทิ้งระเบิดซึ่งถือเป็นเหตุการณ์เล็กน้อย การใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบอาจถูกมองว่าเป็นการรุกราน และขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อสหประชาชาติ (UN) แล้ว
อดีตรองเลขาธิการ สมช. ได้เสนอแนวทางการแก้เกมว่า ฝ่ายไทยจำเป็นต้องสร้างแรงกดดันให้กัมพูชาไม่สามารถขยับตัวได้ โดยใช้มาตรการต่างๆ เช่น การคุมเข้มด่านชายแดน, การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการยื่นเรื่องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
พล.ท.พงศกร ประเมินว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังคงปลอดภัย เนื่องจากจะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อหารือเรื่องการถอนกำลังและวัตถุระเบิด แต่หากการประชุม GBC ล้มเหลว ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการใช้กำลังเพื่อชิงพื้นที่อีกครั้ง
โดย อดีตรองเลขาธิการ สมช. ได้เตือนว่าไม่ควรประมาท เพราะข้อตกลงหยุดยิงสามารถยกเลิกได้เสมอ และสถานการณ์อาจกลับไปสู่การสู้รบได้อีก โดยยุทธวิธีที่ดีที่สุดสำหรับไทยคือไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เนื่องจากมีศักยภาพด้านอาวุธที่เหนือกว่าและแม่นยำกว่า เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง
พล.ท.พงศกร แสดงความกังวลต่อการสื่อสารของรัฐบาลที่อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและเกิดความประมาท พร้อมทั้งเสนอให้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากอนุสัญญาออตตาวา (สนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล) ลงพื้นที่ตรวจสอบ เพื่อให้เห็นสถานการณ์จริงและช่วยเผยแพร่ข้อมูลสู่สายตาชาวโลก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยทั้งในแง่การเจรจาและการใช้กำลัง
นอกจากนี้ อดีตรองเลขาธิการ สมช.ยังวิจารณ์ว่าที่ผ่านมาฝ่ายไทยมักจะประมาทและมองเกมการเมืองระหว่างประเทศของกัมพูชาไม่ขาด ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและต้องคอยแก้ต่างอยู่เสมอ โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของสหรัฐอเมริกาที่พ่ายแพ้ในสงครามเวียดนาม แม้จะมีความพร้อมด้านการทหารมากกว่า แต่พ่ายแพ้ในด้านการเมือง