
12 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 2-3 ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ( 13 สิงหาคม 2568) ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569ได้จัดทำรายงานการพิจารณางบและข้อเสนอกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมสภาฯ
โดยร่างพรบ.งบฯ 2569 มีวงเงินทั้งสิ้น 3,780,600,000,000 บาท มีการปรับลดทั้งสิ้นตามมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯจำนวน 8,920,781,300 บาท และให้จัดสรรให้ส่วนราชการตามที่ครม.เสนอตามความเหมาะสมและจำเป็นจำนวน 8,690,545,700 บาท -จัดสรรให้หน่วยงานของรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและองค์กรอัยการ 230,235,600 บาท
ทั้งนี้ รายงานการพิจารณางบและข้อเสนอ งบกระทรวงกลาโหม ที่มีหน่วยงานความมั่นคง ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ถูกจับตาอยู่ไม่น้อย เนื่องจากการพิจารณางบฯดังกล่าวอยู่ในช่วงสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย -–กัมพูชา ซึ่งคาดว่า จะมีผู้ลุกขึ้นอภิปรายจำนวนมาก
สำหรับรายงานฉบับดังกล่าว มีการนำเสนอในส่วนงบกระทรวงกลาโหม ไว้อย่างน่าสนใจ เช่น
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
กมธ.ฯมีข้อสังเกตุ-ข้อเสนอแนะว่า หน่วยงานควรสำรวจอัตรากำลังและบทบาทหน้าที่ของนายพล และพิจารณาปรับอัตรากำลังพลให้เหมาะสมตามภารกิจหน้าที่ และไม่บรรจุทดแทนอัตราที่ไม่จำเป็นรวมทั้งเร่งผลักดันโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement)เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง โดยการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้มีความเหมาะสมและเพียงพอที่จะจูงใจให้ข้าราชการสมัครเข้าร่วมโครงการ โดยต้องประเมินเปรียบเทียบงบประมาณอย่างรอบด้านว่าการให้ข้าราชการนายทหารบางส่วนเกษียณก่อนกำหนด มีความคุ้มค่า และช่วยลดภาระงบประมาณมากกว่าการปล่อยให้ดำรงตำแหน่งอยู่จนครบอายุราชการ
-ควรส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนไทย เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในเชิงรูปธรรม ควบคู่กับการใช้งบประมาณด้านความมั่นคงให้เป็นกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
-ควรกำหนดระเบียบเพื่อระบุสัดส่วนการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศจากผู้ผลิตภายในประเทศอย่างชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการปรับเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวแบบขั้นบันไดในระยะยาว ควบคู่กับการดำเนินนโยบายสนับสนุนทางภาษี และศุลกากรสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความจำเป็นต้องนำเข้าชิ้นส่วนหรือวัสดุเพื่อการผลิตหรือประกอบภายในประเทศ
-ควรพิจารณาทบทวนรูปแบบการปฏิบัติงานของพลทหาร ภายหลังเสร็จสิ้นระยะการฝึกขั้นพื้นฐาน โดยเปิดให้สามารถปฏิบัติงานในลักษณะ “เช้าไปเย็นกลับ” หรือจัดระบบการปฏิบัติงานเป็นกะที่มีวันหยุดพักผ่อนถี่ขึ้นตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และชีวิตส่วนตัว แนวทางดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจในการสมัครเข้ารับราชการทหารในระบบสมัครใจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กองบัญชาการกองทัพไทย
ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยอาศัยมาตรการ “ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันเชื้อเพลิง” ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือศอ.ปชด. ควรบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ ศ.ปอท. กสทช. และธปท. เพื่อเร่งรัดขั้นตอนการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้รวดเร็วขึ้น และเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการเพื่อสกัดกั้นการกระทำความผิดและมุ่งเน้นให้สามารถสร้างแรงกดดันและผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเครือข่ายอาชญากรไซเบอร์ในพื้นที่เป้าหมาย
กองทัพบก
หน่วยงานควรขับเคลื่อนนโยบายการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศในสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านการป้องกันประเทศ และสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในประเทศ อันจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติในระยะยาว ควรกำหนดแนวทางดังกล่าวให้เป็นระเบียบหรือเกณฑ์ที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีการปรับเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจากผู้ผลิตภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนพัฒนาขีดความสามารถในการผลิต และยกระดับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
กองทัพเรือ
หน่วยงานควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการต่อเรือรบภายในประเทศ และเร่งรัดการจัดหาเรือฟริเกตให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ในสมุดปกขาว รวมถึงเพื่อทดแทนเรือฟริเกตที่ใกล้ครบอายุการใช้งานและเตรียมปลดประจำการในอนาคต การจัดหาเรือฟริเกตควรดำเนินการในคลาสเดียวกันอย่างน้อย 2ลำขึ้นไป เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทางงบประมาณตามหลักการประหยัดจากขนาด(Economy of Scale) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษา การจัดหาอะไหล่และการฝึกอบรมกำลังพลเนื่องจากระบบอาวุธและระบบอำนวยการรบมีความเหมือนกัน ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเอื้อต่อการวางกำลังทางยุทธวิธีในระยะยาว ที่ผ่านมาหน่วยงานประสบปัญหาจากการมีเรือในคลาสเดียวกันเพียงลำเดียวเช่น กรณีเรือหลวงภูมิพล ซึ่งแบกรับภาระการใช้งานจนเกินขีดจำกัด ส่งผลให้เครื่องยนต์เสียหายทั้งสองเครื่อง และต้องใช้เวลาซ่อมแซมยาวนาน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2571
-ควรเสนอแผนการจัดหายุทโธปกรณ์ให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามแนวทางเดียวกับการจัดหาเครื่องบินโจมตีขับไล่เป็นฝูงบินขอกองทัพอากาศ แนวทางดังกล่าวจะช่วยให้หน่วยงานสามารถดำเนินการจัดหาเรือฟริเกตได้อย่างครบถ้วนตามจำนวนที่จำเป็นทางยุทธวิธีตามที่กำหนดไว้ในสมุดปกขาว โดยไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเกินความจำเป็น และสอดคล้องกับการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
– การจัดหายุทโธปกรณ์ของหน่วยงานเช่น เรือฟริเกต ถือว่าเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการพึ่งพาตนเองและสร้างระบบนิเวศทางความมั่นคงอย่างยั่งยืนทั้งนี้ กองทัพเรือ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ควรร่วมกันสร้างมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือและอิเล็กทรอนิกส์ทางทหารในประเทศ เช่น การลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การให้เงินทุนหมุนเวียน หรือการให้สิทธิประโยชน์กับบริษัทที่ผ่านการรับรองจากกองทัพ
กองทัพอากาศ
ควรพิจารณาการจัดหาเครื่องบินลำเลียงทดแทนเครื่องบินที่มีอายุการใช้งานยาวนานและควรปลดระวาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการซ่อมบำรุงในระยะยาว โดยการจัดหาควรคำนึงถึงภารกิจที่สามารถใช้งานร่วมกับภาคพลเรือนได้ ทั้งในด้านการทหารและการช่วยเหลือประชาชน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆอย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องพิจารณาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการใช้งาน รวมถึงบริบทด้านภูมิรัฐศาสตร์ ในแนวทางที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสมดุลในเชิงยุทธศาสตร์ เป็นต้น
คลิกอ่าน >>> รายงานกมธ.วิสามัญพิจารณางบปี69 ฉบับเต็ม