
4 สิงหาคม 2568 ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ทหารไทยจะเข้ายึดกุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ได้ แต่หลายพื้นที่กลับยังไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้เขตอธิปไตยไทย แต่กลับโดนกัมพูชาตีเนียนเข้ามายึดครอง และอาศัยจังหวะเสียงปืนดัง เข้ายึดเนินเขาสูงที่ได้เปรียบทหารไทย
ปัจจุบันพื้นที่ที่ถูกจับตามากที่สุด ก็คือ “ช่องอานม้า” อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี นับเป็นพื้นที่ที่ 2 ต่อจากบริเวณปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ซึ่งกองทัพบกยอมรับแล้วว่า ไม่สามารถควบคุมตัวปราสาทและพื้นที่โดยรอบทั้งหมดได้
โดยตัวเร่งความสงสัย คือ การที่รัฐบาลกัมพูชาพาคณะผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ช่องอานม้า เหมือนแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ฝ่ายรัฐบาลไทยไม่ได้พาทูตลงไป โดยให้เหตุผลในประเด็นความไม่ปลอดภัย
ทั้งที่จริงๆ แล้ว พื้นที่่ช่องอานม้า ไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์ร่วม แต่เป็นของไทยโดยสมบูรณ์ เดิมทีไม่มีคนกัมพูชามาอยู่
โดยพระครูวิรัชศาสนการ เจ้าคณะตำบล ในอำเภอน้ำยืน เจ้าคณะตำบล ท่านเกิดที่น้ำยืน โต บวชและจำพรรษาที่น้ำยืน เคยธุดงค์ขึ้นไปที่ช่องอานม้า และนำสะพานบุญเข้าไปทอดผ้าป่าถึงวัดในกัมพูชา ห่างออกไป 25 กิโลเมตร เล่าว่า “ประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไร จุดนี้เป็นตลาด ผ่อนปรนขายสิ่งของต่างๆ ของป่า ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ชาวบ้านฝั่งกัมพูขาเอาของป่ามาขาย เขาขายเสร็จก็กลับบ้านเขา มีทหารอยู่
ช่องอานม้า ช่วงออกพรรษา พาญาติโยมไปทอดกฐินประจำ ช่วงเข้าพรรษา ธูปเทียนผ้าอาบน้ำฝนขนไปช่วยเขา เมื่อก่อนไม่เคยมีข้อสงสัยว่าเป็นของใคร แต่พอเขามาอยู่ ก็อ้างสิทธิเป็นของเขา แต่ที่จริงเป็นของเรา ลงไปตั้งแต่สมัยบุกเบิกใหม่ๆ ไปกับหลวงพ่อวัดน้ำยืน ตั้งแต่เขาบุกเบิกทางใหม่ เดินตามโขดหิน
เคยมีทหารเขมรป่วยมารักษา เสียค่ารักษาสูงถึง 70,000 บาท เราระดมเงินช่วยไป 20,000 บาท พอเขาหายป่วยกลับไป พระไปทอดกฐินที่กัมพูชา ไปเจอครอบครัวเขา แต่เขาไม่ทักเลย ตอนนี้สรุปบทเรียนคนกัมพูชาเชื่อไม่ได้
อยากให้ทหารไปควบคุม คุมให้หมดเลย ไม่ต้องให้เขาขึ้นมาเลย ถ้าขึ้นมาอีก ลำบากอีก เรามีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลเขา แต่เขาไม่มีน้ำใจกับเรา คนพวกนี้ไว้ใจไม่ได้”เจ้าคณะตำบล ระบุ
ทั้งนี้ทีมข่าวเนชั่นทีวี เป็นทีมข่าวแรกที่สามารถเข้าไปสำรวจบริเวณช่องอานม้า และอนุสาวรีย์ตาอม หลังข้อตกลงหยุดยิง
คลิปซากปรักหักพังของ ช่องอานม้า - อนุสาวรีย์ตาอม หลังไทย-กัมพูชา ตกลงหยุดยิง