svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ ฟังไทม์ไลน์ เหตุปะทะชายแดนชี้ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน-ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง-บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร

1 สิงหาคม 2568 คณะทูต ทั้งเอกอัครราชทูต อุปทูต 11ประเทศ และทูตทหาร 23ประเทศ กว่า 50คน ได้เดินทางมาถึงที่ ค่ายสรรพสิทธิ์ประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 และเข้ารับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ สำหรับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

เปิดคลิป! คณะทูต 11 ประเทศ-ทูตทหาร 23 ประเทศ รับฟังไทม์ไลน์ กัมพูชาเริ่มยิงก่อน

 

 

 

ซึ่งมีคณะของกองทัพบก นำโดย พล.ท.อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะเดินทาง พร้อมด้วย พ.อ.พัฒนา พันธุ์มงคล รอง ผอ.สำนักวิเทศสัมพันธ์ กรมข่าวทหารบก นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และพล.ต. นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 ร่วมบรรยายสรุปสถานการณ์

โดยได้มีการ ไล่เรียงเหตุการณ์ ตามลำเหตุการณ์และข้อเท็จจริง ตั้งแต่ต้นปี 2568 ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุ เพื่อสร้างความตึงเครียด ด้วยกิจกรรมทางทหาร และพลเรือน และ 28 ก.พ. 68 การเผาศาลาตรีมุข ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ระหว่างไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว


      
เดือน มี.ค. ถึง เม.ย.68 ทหารกัมพูชา ดัดแปลงภูมิประเทศบริเวณแนวชายแดน เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารเช่น การเสริมความแข็งแรงของที่มั่น การปรับปรุงเส้นทาง และการขยายแนวเขตคูติดต่อเพิ่มเติมเข้ามาในเขตประเทศไทย
    
เดือน เม.ย. ถึง พ.ค. 68 ฝ่าย กพช. ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาประชิดชายแดนไทย - กพช. เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่มีหลักฐานการพิสูจน์ทราบจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยชาวออสเตรเลีย ต่อมาฝ่าย กพช. ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยเข้ามาขุดคูติดต่อ

- 28 พ.ค. กัมพูชาเริ่มเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้เพื่อเป็นการป้องกันตัว บริเวณช่องบก กองทัพ และรัฐบาลไทยพยายามใช้แก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งไม่เป็นผล

- เดือน ก.ค.68 ทหารกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่ ในเขตแดนไทย จนทำให้ทหารไทยที่ออกลาดตระเวน ได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึง 2 ครั้ง ทำให้เกิดการสูญเสีย ขาขาด 2 นาย และมีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่ายกัมพูชา จงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการจงใจละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทย และกัมพูชาให้สัตยาบรรณ นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าว ได้ดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิด ภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติ จนมีความปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์แล้ว

 

 

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชา พยายามแสดงการยั่วยุ โดยส่งทหารกัมพูชา ทั้งในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบแสดงเป็นพลเรือน ตลอดจนจัดตั้งมวลชนชาว กพช. จากกรุงพนมเปญและใกล้เคียง เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาควาย ปราสาททตาเมือน และพื้นที่อื่น ๆ ตามแนวชายแดน เพื่อจัดกิจกรรมทำคอนเทนต์ แสดงออกในลักษณะยั่วยุนักท่องเที่ยวชาวไทย ประชาชนไทย และทหารไทย ในพื้นที่ จนเกิดการกระทบกระทั่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างคนไทย และคนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทต่าง ๆ

 

 

 

ทำให้ไทยต้องมีการยกระดับมาตรการควบคุมชายแดนทั้งหมด ด้วยการล้อมรั้วลวดหนาม

 

จนกระทั่ง 24ก.ค.68 ทหารกัมพูชา เริ่มยิงใส่ทหารไทยที่ประจำ ณ ปราสาทตาเมือนธมก่อน โดยใช้ ปืนเล็กยาว, ปืน และ เครื่องยิงลูกระเบิด mortar จนนำไปสู่การปะทะกัน จากนั้น ฝ่าย กพช. ได้ยกระดับเป็นการใช้กำลังรบ และอาวุธยิงสนับสนุน ปืนใหญ่ และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตีฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดน จงใจยิงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งหากจากชายแดน เกือบ 10 กม. ถึง 30 กม.


- โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์
- ปั้มน้ำมัน PTT บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศีรษเกษ
- ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศีรษเกษ
- โรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์ และศีรษเกษ
- บ้านเรือนราษฎร เช่น หมู่บ้านกรวด บ้านกุดเชียง ในพื้นที่ จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์, ศีรษเกษ และ อุบลราชธานี
ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 15 ราย เสียชีวิต 36 ราย

ซึ่งผู้เสียชีวิต 1 ในนั้นเป็นเด็กอายุเพียง 8 ปี และมีราษฎรต้องอพยพจำนวนมากกว่า 150,000 คน


และยืนยันว่า  จากเหตุการณ์ดังกล่าวฝ่ายไทย ได้ดำเนินการตอบโต้ ภายใต้หลักการแห่งการป้องกันตนเอง (Right of Self-Defense) ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ (Article 51 of the UN Charter) ซึ่งระบุว่า “ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎบัตรนี้จะกระทบสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐนั้น”

 

การตอบโต้ของฝ่ายไทยจึงเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ภายใต้หลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity and Proportionality) โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อ ยับยั้งภัยคุกคาม ลดการสูญเสียของพลเรือน และรักษาเสถียรภาพของอธิปไตยแห่งชาติ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยมิได้ มีเจตนาที่จะรุกรานหรือกระทำการใด ๆ ที่เกินขอบเขตการป้องกันตนเองจากการคุกคามโดยฝ่ากัมพูชา

 

 

ฝ่ายไทยทำการโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้การโจมตีแบบ indiscriminate target ทำให้เกิดการสูญเสียทางพลเรือนของฝ่ายไทย 


 
นอกจากนี้ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนในเขตชุมชนพลเรือน เสมือนเป็นใช้โล่ห์มนุษย์ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ไปเป้าหมายดังกล่าว

 

“ถือเป็นการเจตนาละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่มีประเทศอารยธรรมใดในโลกที่ยอมรับการกระทำ ซึ่งไร้มนุษยธรรมในลักษณะดังกล่าว”


ทั้งนี้ หลังจากมีการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 แล้วเวลาหลังเที่ยงคืน ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงการหยุดยิง ใน6พื้นที่ จนวันที่ 30 ก.ค. และ 31ก.ค. ยังตรวจพบทหารกัมพูชาเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย และการใช้อากาศยานไร้คนขับของฝ่ายกัมพูชา บินตรวจการณ์ในพื้นที่ตอนในของฝ่ายไทย อย่างมีนัยยะสำคัญ

 

นอกจากนี้กัมพูชา ยังนำเสนอข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งการกล่าวหาว่าใช้ระเบิดสทรเคมี และใช้ระเบิด MK-84 ตกใส่บ้านเรือนของประชาชนกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยขอปฏิเสธข้อกล่าวหา ซึ่งวัตถุระเบิดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็น MK-84 นั้น เป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเวียดนาม และไม่เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ รายละเอียดตามภาพฉาย 

 

ทั้งนี้ไทยขอประนาม และให้กัมพูชาหยุดการกล่าวหาอันเป็นเท็จ เพื่อปลุกปั่นกระแสความเกลียดชัง และขอให้หันมาร่วมมือกับประเทศไทยและประชาคมระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนอย่างสันติ ผ่านการเจรจาและความร่วมมือที่ตรงไปตรงมา

 

กองทัพขอเน้นย้ำว่า การปะทะระหว่างไทย กับกัมพูชานั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน 


โดยอาวุธระยะไกลยิงต่อ เป้าหมายพลเรือน และทำให้เกิดความเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินหายของพลเรือนที่ยอมรับไม่ได้

 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีการเจรจาตกลงหยุดยิงแล้วแต่ ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบ ขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ ร่วมติดตามสถานการณ์ด้วยความเข้าใจ และร่วมกันผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี

 

ด้าน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ  บอกว่า วันนี้ พาคณะทูตลงพื้นที่ไปดูความเสียหายในพื้นที่ ให้เห็นว่ากัมพูชาโจมตีพื้นที่พลเรือน และไทยยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ ในการหาทางแก้ปัญหาโดยสันติวิธีมาตั้งแต่ต้น

 

โดยเฉพาะการแก้ปัญหาผ่านกลไกหารือทวิภาคี  ซึ่ฃไทยย้ำว่า ถูกบังคับให้ต้องป้องกันตัวเองด้วย และการกระทำของกัมพูชา และหวังว่ากัมพูชา จะเริ่มต้นเจรจาเพื่อนำไปสู่การสร้างความสงบสุข 

 

 

ขณะที่ ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึงผลกระทบความเสียหายเฉพาะในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ว่า ทำให้ผลกระทบ3อำเภอชายแดน ที่มีประชาชนกว่า5หมื่นคนโดยอพยพมาประชาชนที่ศูนย์พักพิงกว่า 22,000คน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. โดยมีที้งหมด 68 ศูนย์ห่างจากพืเนที่ชายแดน 70กิโลเมตร ในพื้นที้อำเภอเดชอุดม ซึ่งกระทบต่อวิถีชึวิตต่อประชาชนและมีความยากลำบากในการใช้ชีวิต และจะต้องปิดสถานพยาบาล23แห่งเป็นรพ.3แห่งและ รพ.สต.20แห่ง  และกระทบชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เสียขีวิต1รายบาดเจ็บสาหัส 3ราย บ้านเรือนและพืชผลทางการเกษตรจำนวนมาก

 


ภายหลังรับฟังบรรยาสรุปเสร็จสิ้น ก็พาคณะทูต และทูตทหาร ขึ้นรถตู้และรถบัส เพื่อลงพื้นที่ดูความเสียหายจากการสู้รบทันที


   
โดย พล.ต.วินธัย ให้สัมภาษณ์ สั้นๆ ก่อนขึ้นรถว่า นี้จะมาดูผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน ทั้งในเรื่องของสิ่งปลูกสร้าง ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบ้านเรือนของพลเรือน ซึ่งเกิดจากการใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชาที่เกินขอบเขตมาสู่พื้นที่ของพลเรือน ซึ่งห่างจากพื้นที่การรบบริเวณแนวชายแดนในระยะไกล


และวันนี้มี 3 จุดหลักที่เน้นๆ คือ 1.สิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นสถานอาคารพานิชย์ เช่น ปั๊มน้ำมัน ได้รับความเสียหาย 2.โรงพยาบาล 3.โรงเรียน 4.บ้านเรือนของประชาชน 5.กลุ่มคนที่เคยอยู่ในพื้นที่ ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ชายแดน แต่ก็ต้องมาอพยพไปด้วย ซึ่งมันเกิดผลกระทบไกลเกินกว่าสิ่งที่มันควรจะเป็น เพราะพื้นที่การรบมีแค่ส่วนเดียวเท่านั้น แสดงให้เห็นว่ามันเกิดจากการใช้อาวุธที่ผิดกติกา หลักสากล และผิดหลักมนุษยธรรมด้วย


สำหรับการลงพื้นที่ในวันนี้ยังมีสื่อต่างชาติจำนวนมาก รวมถึงสื่อไทย กว่า 150 คน ลงพื้นที่ติดตามการสังเกตุการณ์ของคณะทูตและทูตทหารด้วย

 

สำหรับ เอกอัครราชทูต 3 ประเทศ : บรูไน, ญี่ปุ่น,  เมียนมา

ระดับ อุปทูต 3 ประเทศ : มาเลเซีย, สปป. ลาว, อินโดนีเซีย

ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 5 ประเทศ : สหรัฐฯ, สิงคโปร์, จีน, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์

รวมทั้งหมด 11 ประเทศ

 

 

ผู้ช่วยทูตทหาร รวม 23 ประเทศ ประกอบด้วย

จีน 

มาเลเซีย 

ปากีสถาน 

เกาหลีใต้ 

รัสเซีย 

สิงคโปร์ 

เยอรมัน 

อินเดีย 

ลาว 

แคนาดา 

ฝรั่งเศส 

สหรัฐอเมริกา 

ฟิลิปปินส์ 

ญี่ปุ่น 

เวียดนาม 

อิตาลี 

เนเธอร์แลนด์ 

อินโดนิเซีย 

สวีเดน 

สวิตเซอร์แลนด์ 

บรูไน 

ทูร์เคีย 

สหราชอาณาจักร

 

 

ดูคลิป