
นางสาวสรัสนันท์ อรรณพพร สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยความคืบหน้าการเดินสายชี้แจงสถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ในห้วงการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมาว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ 24 กรกฎาคมที่มีการปะทะจนประชาชนคนไทยเสียชีวิต กรรมาธิการฯ ก็เดินสายชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะกรรมาธิการฯ กังวลต่อการสื่อสารจากทั้งฝั่งไทย และกัมพูชา มีความแตกต่างกันมาก สร้างความไม่เข้าใจให้ต่างชาติ จึงเดินสายไปประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง หรือ UNSC ที่ก่อนหน้านี้มีการพิจารณาเรื่องของไทย-กัมพูชาไป เพื่อแสดงความกังวลในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งที่ผ่านมา ได้พบกับสถานทูตจีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหภาพยุโรป 18 ประเทศ ซึ่งกรรมาธิการฯ จะเดินสายชี้แจงต่อไป คู่ควบไปกับการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ และเรียกร้องให้มิตรประเทศ แสดงจุดยืนต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อทั้ง 2 ประเทศ และขอให้ทุกประเทศ ช่วยกันติดตาม และคัดกรองข่าวข้อเท็จจริง เพราะที่ผ่านมามีความสับสนของประชาคมโลกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นอย่างไร
กมธ.การต่างประเทศ เข้าพบนายอู๋ จื้ออู่ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเป็นวาระเร่งด่วน
เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ส่วนหลังจากที่ทั้งไทย และกัมพูชาบรรลุข้อตกลงการหยุดยิงแล้ว แต่กัมพูชา กลับละเมิดข้อตกลง สถานทูตต่าง ๆ มีความเข้าใจหรือไม่นั้น นางสาวสรัสนันท์ ระบุว่า ต่างชาติรับฟัง เพราะหลายประเทศโดยเฉพาะแถบยุโรป ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต่อเรื่องดังกล่าว จึงสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่ายยับยั้งชั่งใจ ซึ่งประเทศไทยก็ชัดเจนว่า มีความยับยั้งชั่งใจมาโดยตลอด และปกป้องตัวเองเท่าที่จำเป็น และไม่ได้มุ่งให้เกิดความเสียหายแก่พลเรือน
ส่วนสถานทูตต่าง ๆ สงสัยต่อสาเหตุการปะทุของเหตุการณ์ และพัฒนาความรุนแรงไปอย่างรวดเร็วหรือไม่นั้น นางสาวสรัสนันท์ ยอมรับว่า สถานทูตต่าง ๆ ก็อยากฟังความเห็นของฝ่ายนิติบัญญัติเช่นเดียวกัน ซึ่งในแถบภูมิภาคก็ต้องการความเข้าใจว่า เกิดเหตุใดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ แต่ประเทศที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็กังวลใจประเทศที่ 3 ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง จึงต้องการทราบจุดยืนประเทศไทยต่อมหาอำนาจ ซึ่งทั้งหมด หลายประเทศที่แสดงจุดยืน หรือไม่ได้แสดงจุดยืน ทุกประเทศมีส่วนได้ และส่วนเสีย ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเข้มแข็งด้วยลำแข้งของตน และเป็นโอกาสว่า ประเทศใดเป็นมิตรประเทศในวันที่มีปัญหา และได้เห็นหลายประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมต่อการช่วยเหลือให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ และต้องมองให้ออกว่า เพื่อนบ้านมีประสงค์อะไร และหลายประเทศที่เกี่ยวข้อง ต้องการอะไรจากสิ่งนี้ เพราะเชื่อว่า ไม่มีการปะทะใดเพียงเพราะต้องการปราสาท แต่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น หรือทรัพยากร
ส่วนความเป็นไปได้ในการฟ้องร้องกัมพูชาต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) หรือ ICC นั้น นางสาวสรัสนันท์ เห็นว่า สามารถทำได้ แต่อาจยังไม่ถึงเวลาในทันที เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้เสียชีวิต ทั้งฝั่งไทย และฝั่งกัมพูชา และกัมพูชาก็มีคดีอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกมากอยู่แล้ว จึงต้องกำหนดเป้าหมายสถานการณ์ให้ดี เพราะประเทศไทยมุ่งให้เกิดการยุติการโจมตีที่ละเมิดข้อตกลงก่อน เพื่อให้ประชาชนปลอดภัย และเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ แต่กระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้เจรจารายละเอียดต่าง ๆ และเกมการเมืองระดับภูมิภาค ก็ยังต้องจับตา เพราะมีการเคลื่อนไหวของมหาอำนาจ ที่กระทบต่อการตัดสินใจของประเทศไทยให้เหมาะสม และเสียหายน้อยที่สุดด้วย ซึ่งท้ายที่สุดก็กลายเป็นประเทศไทยที่ถูกกดดัน
กมธ. ต่างประเทศ เข้าพบ 18 ทูต กลุ่มประเทศสพภาพยุโรป ชี้แจงข้อเท็จจริงไทยกัมพูชา
นางสาวสรัสนันท์ ในฐานะเลขาธิการหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพรัฐสภา หรือ IPU ยังกล่าวถึงกรณีที่ประธานสภากัมพูชา กล่าวถ้อยแถลงกล่าวหาประเทศไทยในห้วงการประชุม IPU ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสต์เซอร์แลนด์ว่า ถือเป็นสิทธิของกัมพูชา แต่ไทยก็มีสิทธิในการตอบโต้ชี้แจง และตนเองก็ได้ใช้กรอบความร่วมมือของฝ่ายนิติบัญญัติต่อเวทีนานาชาติ ทั้ง IPU, สมัชชารัฐสภาอาเซียน หรือ AIPA และรัฐสภาภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APPF เพื่อสื่อสารกับ สส.ทั่วโลกให้เกิดประโยชน์ที่สุดแล้ว ทั้งการออกคำชี้แจง ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม หลังมีเหตุการณ์ปะทะ โดยจะสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตลอด เพื่อพิสูจน์ว่า ประเทศไทยถูกกระทำ