svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

นัยแห่งภาพฉาว “ทิดสฤษดิ์” สะท้อน "วิกฤตดงขมิ้น" แก่นปัญหาวงการสงฆ์

นัยแห่งภาพฉาว “ทิดสฤษดิ์” สะท้อน "วิกฤตดงขมิ้น" แก่นปัญหาวงการสงฆ์ พัวพันถึงพระผู้ใหญ่หลายรูป จนต้องสึกกันระนาว

22 กรกฎาคม 2568 แก่นของปัญหาในวงการสงฆ์ ที่พัวพันถึงพระผู้ใหญ่หลายรูป จนต้องสึกกันระนาว และมีภาพฉาวออกมาไม่เว้นแต่ละวันนั้น

 

 

 

สาเหตุหลักๆ มาจาก 2 เรื่อง คือ

-เสพเมถุน

-ปัจจัย

ซึ่งหมายถึง “เงิน” หรือ ”ผลประโยชน์” (ต้นตอมาจากเรื่องเดียวกันคือ ตัดกิเลสไม่ขาด)

 

ทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวโยงกัน โดยที่ “เงิน” หรือ “ผลประโยชน์” น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุด และทำให้ปัญหาบานหลาย เพราะถ้าลำพังแค่เสพเมถุน โดยไม่มีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาไม่น่าจะบานปลายใหญ่โตขนาดนี้

 

 

 

ยกตัวอย่างกรณี “ทิดสฤษดิ์” อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ ซึ่งชิงลาสึกช่วงกลางดึกวันเสาร์ หลังจากนั้นมีภาพถ่ายคู่กับสีกาหลุดออกมา เป็นภาพที่สร้างกระแสฮือฮา เพราะทั้งสวมชุดไปรเวท สวมวิก เขียนคิ้ว

 

นัยแห่งภาพฉาว “ทิดสฤษดิ์” สะท้อน "วิกฤตดงขมิ้น" แก่นปัญหาวงการสงฆ์

 

นัยแห่งภาพฉาว “ทิดสฤษดิ์” สะท้อน "วิกฤตดงขมิ้น" แก่นปัญหาวงการสงฆ์

 

นัยแห่งภาพฉาว “ทิดสฤษดิ์” สะท้อน "วิกฤตดงขมิ้น" แก่นปัญหาวงการสงฆ์

 

 

 

ภาพนี้มีความหมาย ไม่ใช่แค่สร้างความอเนจอนาถให้กับพุทธศาสนิกชน และคนที่เคยกราบไหว้เท่านั้น แต่ยังมีความหมายลึกซึ้งที่ต้องถอดรหัส กล่าวคือ

 

- ทิดสฤษดิ์ ไม่ได้มีจิตใจอยากเป็นพระ หรือมีความเป็นพระอยู่ในหัวใจเลย เพราะแท้จริงคืออยากเป็นฆราวาส จึงแต่งตัวเลียนแบบญาติโยม ทำหล่อ ทำเท่ เหมือนเป็นพวกหนุ่มกลัดมัน

- เมื่อใจอยากเป็นฆราวาส เหตุใดจึงไม่ยอมสึกออกไป เพราะง่ายมาก แค่ท่องบทลาสิกขา และถอดผ้าเหลือง สบง จีวร

- คำตอบเดียวที่ไม่ยอมสึก คือ “เงินทอง และผลประโยชน์”

- ฉะนั้นพฤติกรรมของ “ทิดสฤษดิ์” คือ บวช หรือ ครองผ้าเหลืองอยู่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ หรือเพิ่มความร่ำรวยให้ตัวเองเท่านั้น เรียกว่ามองความเป็น “พระ” หรือมอง “สงฆ์” เป็นอาชีพหนึ่งที่ทำเงินได้ และมีรายได้งาม

- ความคิดเช่นนี้ทำให้ “ทิดสฤษดิ์” สมควรถูกประณามยิ่งกว่าพระที่อ่อนต่อโลก แล้วลุ่มหลงในกาม แต่ยังพยายามครองความเป็นพระอยู่เสียอีก

 

 

**จุดนี้เองที่ทำให้หลายฝ่ายเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย อาจจะเป็นกฎหมายที่มีอยู่ เช่น พ.ร.บ.คณะสงฆ์ / หรือประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้การกระทำแบบนี้เป็นความผิดตามกฎหมายของฝ่ายบ้านเมือง และมีโทษทางอาญา เนื่องจากทำลายศาสนาโดยมุ่งหวังผลประโยชน์อย่างชัดแจ้ง โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เรื่องการเสพสังวาส หรือต้องถูกลงโทษทางพระธรรมวินัยเรื่อง “ปาราชิก” ก่อนด้วยซ้ำไป

 

เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 “ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือ นักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่ง 1 หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

 

กฎหมายนี้นำมาปรับใช้กับ “สมี” กลุ่มนี้เลยได้หรือไม่ เพราะการที่พระรูปหนึ่งต้อง “ปาราชิก” ย่อมขาดจากความเป็นพระไปแล้ว และตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจ / การครองสมณเพศต่อไป จึงเท่ากับหลอกลวงสังคม หลอกลวงผู้อื่น น่าจะเข้าข่ายแต่งกายเลียนแบบพระ

เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะหากไม่ปรับตัวบทกฎหมายเดิมมาใช้ แต่ไปออกกฎหมายใหม่ที่มีโทษอาญา กฎหมายย่อมไม่สามารถบังคับย้อนหลังได้ / บรรดาอลัชชี หรือ “สมี” กลุ่มที่ทยอยสึกออกไป ก็จะอยู่รอดปลอดภัย ใช้เงินที่เหลืออยู่อย่างสุขสบาย โดยไม่แคร์หัวใจญาติโยม

 

นัยแห่งภาพฉาว “ทิดสฤษดิ์” สะท้อน "วิกฤตดงขมิ้น" แก่นปัญหาวงการสงฆ์

 

นัยแห่งภาพฉาว “ทิดสฤษดิ์” สะท้อน "วิกฤตดงขมิ้น" แก่นปัญหาวงการสงฆ์