
21 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการการตอบโต้กัมพูชา ภายหลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ว่า จุดยืนของรัฐบาลได้พูดไปหลายครั้งแล้วว่า ยึดมั่นในอธิปไตยของประเทศ จะไม่ยินยอมให้มาละเมิดอธิปไตย
ขณะเดียวกัน พยายามป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง หรือนำไปสู่สงคราม โดยไทยพยายามจะหลีกเลี่ยงภาวะสงคราม แต่หากมีการรุกล้ำเข้ามากระทบกับอธิปไตยก็คงไม่ยอม ทั้งนี้เท่าที่ทราบ กองทัพภาคที่ 2 และ ศบ.ทก.ได้ชี้แจงไปแล้ว และทราบว่าเมื่อวานนี้ (20 ก.ค.68) มีรายงานข่าวแจ้งว่า มีการขนมวลชนมา 23 คันรถ ซึ่งได้รับรายงานตั้งแต่มีการเคลื่อนไหว ซึ่งไทยก็ได้เตรียมมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้ประเด็นถูกเบี่ยงเบนไปสู่องค์กรระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า เรื่องทุ่นระเบิด มีการตรวจสอบแล้วชัดเจนว่าเป็นระเบิดใหม่ที่มีการผลิตและนำมาวางไว้ในช่วงเร็วๆนี้ ดังนั้นไทยมองว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งไทยได้รวบรวมหลักฐาน และตนได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่กระบวนการประท้วง ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ หากพบสาเหตุมากไปกว่านี้ อาจต้องถึงขั้นถอนอุปทูตกลับมาก็ได้ ต้องดูตามเงื่อนไขและสถานการณ์
ส่วนการท่องเที่ยวที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้ต้องระมัดระวัง ตนได้พูดคุยกับฝ่ายทหาร ศบ.ทก. ที่พยายามจะแก้ไขเรื่องนี้ โดยได้รับการประสานจาก ศบ.ทก. และได้ประสานไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้องค์การระหว่างประเทศและประชาคมโลกได้เห็นว่า ไทยไม่อยากใช้กำลังรุนแรงกับประชาชน ดังนั้นจึงจะใช้ตำรวจปราบจลาจล(ปจ.) กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 จำนวน 2 กองร้อย เพื่อไปสนับสนุนการทำหน้าที่ของทหาร โดยจะนำเครื่องมือปราบจลาจลจาก กทม. เข้าไปเสริมการทำหน้าที่ โดยจะปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหลัง แต่ทหารยังคงทำหน้าที่ป้องกันอธิปไตยอยู่เหมือนเดิม
“ถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้น ถ้าเราจะเรียกตำรวจมันใช้เวลามากและใช้เวลานาน ดังนั้น เราสามารถที่จะเตรียมกำลังปราบจลาจลพร้อมที่จะปฏิบัติต่อประชาชนเขมรได้ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล และใช้ทหารพรานหญิงในการรองรับเสริมการทำงาน เลี่ยงกำลังทหารมาอยู่สุดท้าย เว้นแต่จะมีการยกกำลังเข้ามา ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง“
นายภูมิธรรม ย้ำจุดยืนอีกว่า พยายามที่จะยืนยันในสิ่งที่พูดไปแล้ว ในเรื่องอธิปไตยของประเทศพยายามแก้ปัญหาโดยหลีกเลี่ยงความรุนแรง เพื่อไม่ให้เป็นเงื่อนไขให้กัมพูชานำไปกล่าวหา หรือดึงคดีเข้าไปสู่ศาลโลก ซึ่งไทยไม่อยากไปอยู่ในจุดนั้น เพราะไทยได้ประกาศชัดเจนหลายครั้งแล้ว ว่าไม่ยอมรับกลไกของศาลโลก ซึ่งเมื่อวานนี้ ก็ได้มีการพูดคุยกับกำลังพลแล้ว ว่าจะต้องใช้ความอดทน หลีกเลี่ยงให้ถึงที่สุด เพราะถ้าหากเกิดสงครามไทยไม่ได้กลัว แต่ไม่อยากเห็นการสูญเสีย ซึ่งจะใหญ่หลวงเหมือนกับสงครามในโลก เช่น ยูเครน เพราะเดี๋ยวนี้รบกันด้วยอาวุธที่ทันสมัย ไม่ได้ถือดาบไปฟันกัน หรือถือปืนเล็กที่ยาวมายิงกัน แต่ใช้วิถีระยะไกลของเครื่องมือที่ทันสมัยมาทำลายกันจนเกิดความเสียหาย
ส่วนแนวโน้มการเจรจา JBC นั้น ไทยย้ำที่จะอยู่ในมาตรการนี้ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้มาตรการที่จะยั่วยุ ให้เกิดเหตุการณ์ เพราะปรารถนาจะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ดังนั้นไทยจะต้องยืนยันจุดยืนเดิม และรักษาพื้นที่ของประเทศ เช่น ปราสาทตาเมือนธม ก็ยืนยันว่ายังเหมือนเดิม ดังนั้นจึงต้องอดทนอดกลั้นไม่ให้รุกล้ำเข้ามาในอธิปไตยของไทย