
18 กรกฎาคม 2568 ที่ศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ศาลนัดไต่สวนพยานคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5 หรือคดีชั้น 14 โดย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายทักษิณ กล่าวถึงการสืบพยานคดีว่า วันนี้จะสืบพยานแพทย์จาก รพ.ตำรวจ คือแพทย์ใหญ่คนปัจจุบัน และแพทย์ใหญ่ในอดีต และทีมแพทย์รักษา รวม 6 คน
การไต่สวนในวันนี้ น่าจะใช้เวลาพอสมควร มีรายละเอียดที่ศาลให้ความสนใจ อยากทราบ นอกจากนี้ยังมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเวชระเบียน หรือบันทึกการรักษา รวมถึงประวัติการรักษาตัวที่ต่างประเทศของนายทักษิณ ทั้งหมดต้องเป็นการนำข้อเท็จจริงขึ้นสู่ศาล และตนได้ตั้งคำถามไว้ล่วงหน้า แต่ก็ต้องดูว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่
มีรายงานว่า กลุ่มแพทย์ของ รพ.ตำรวจ จำนวน 6 ปาก ได้แก่
1.พล.ต.ท. โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
2.พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทย์ใหญ่ (สบ 8)
3.พล.ต.ต. สามารถ ม่วงศิริ รอง พตร.
4.พล.ต.ต. ศุภฤกษ์ พัฒนปรีชากุล นายแพทย์ (สบ 7)
5.พ.ต.อ.ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ (สบ 5)
6.พล.ต.ท.สุรพล เกษประยูร
ก่อนเข้าห้องพิจารณา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.ปชป.ได้นำใบเสร็จการพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 มาแสดงต่อสื่อมวลชน เป็นใบเสร็จการรักษาตัวของนายทักษิณ ตั้งแต่ 4 ก.ย.66 ถึง 19 ก.พ.67 รวม 26 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 2,475,276 บาท ซึ่งผู้บังคับบัญชาของตำรวจ ได้สั่งให้ รพ.ตำรวจ รายงานว่า กรณี นายทักษิณ เข้าพักรักษาตัวใช้สิทธิประเภทใด ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ต้องขังเป็นจำนวนเงินเท่าใด ผู้ใดเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งขอเอกสารการใช้สิทธิที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด
นายทักษิณย้ายจากราชทัณฑ์ไป รพ.ตำรวจ วันที่ 23 ส.ค.66 แต่มีการเก็บเงินในวันที่ 4 ก.ย.66 เป็นครั้งแรก มีการเก็บค่าสารอาหารทางเส้นเลือด 150 บาท นอกนั้นจะเป็นค่าตรวจวินิจฉัยและค่าบริการทางพยาบาล และค่าห้องราว 140,000 บาท ไม่มีค่ายา แต่กลับอ้างว่าป่วยวิกฤต
นายชาญชัย ยืนยันว่า ใบเสร็จนี้ไม่ใช่เวชระเบียน เป็นสิ่งที่เปิดเผยได้ ตนท้าให้มาตรวจสอบเพราะใบเสร็จนี้เป็นของจริง หากดูตามใบเสร็จจะพบว่า ไม่มีอาการของโรคที่จะต้องรักษาด้วยยาเลย หากดูในใบเสร็จในวันที่ 19 ก.พ.67 จะพบว่า มีค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค 11,461 บาท ค่าเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา 47,324 บาท ค่าห้องและค่าอาหาร 57,350 บาท ซึ่งหลังจากนั้น 7 วันก็ออกไปเดินฉุยๆ ได้แล้ว
“ใครไปบังคับให้นายทักษิณให้นอนโรงพยาบาลถึง 181 วัน ถ้านายทักษิณไม่สั่งพวกนี้ทำ”
นายชาญชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การใช้กฎหมายพิเศษ แต่เป็นเรื่องการพิจารณาโทษว่า มีการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลหรือไม่ หากมีการละเมิดอำนาจศาล ศาลก็ต้องหาข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนกระบวนความ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องที่จะไปกลั่นแกล้งใคร เป็นเรื่องกระบวนการตามกฎหมาย ศาลก็ใช้วิธีการไต่สวนโดยเปิดเผย
ส่วนเอกสารและใบเสร็จเหล่านี้ ตนได้มาโดยชอบ และข้อมูลทั้งหมดจะส่งให้ศาลอีกครั้งในวันที่ 25 ก.ค.นี้ เพื่อจะใช้มัดนายทักษิณว่า สั่งการอะไรที่เกี่ยวข้องกับการไม่จำคุกตามคำพิพากษา
“ถ้าเขาไม่พอใจก็มาฟ้องผมเอา ผมพร้อมที่จะขึ้นศาลกับเขาอีกรอบ และผมจะกระชากลากเอกสาร ที่เป็นเรื่องลับออกมาอีกรอบ เอาให้มันกระจุยไปเลย แน่จริงมาเลยไม่เป็นไร แต่ขอให้ความจริงปรากฏต่อศาล บ้านเมืองจะได้สงบ ผมไม่ได้มาทำเพื่อการเมือง เพราะผมไม่ได้เล่นการเมืองแล้ว”
สำหรับการไต่สวนในช่วงเช้าวันนี้ มีรายงานว่า ศาลได้ไต่สวนพยานจำนวน 3 ปาก เป็นอดีตแพทย์ใหญ่ของ รพ.ตำรวจ แพทย์ใหญ่ของ รพ.ตำรวจ คนปัจจุบัน และแพทย์ผู้ทำการรักษานายทักษิณ ที่เข้าเวรช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 23 ส.ค. 2566 ส่วนพยานที่เป็นแพทย์ใหญ่และอดีตแพทย์เบิกความว่า ห้องพักชั้น 14 มีผู้ป่วยมาพักก่อนหน้าอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงที่ รพ.ทำการกักตัวผู้ป่วยโควิด ทำให้ต้องใช้ห้องพักผู้ป่วยทุกห้อง
ส่วนพยานรายที่ 3 ที่เป็นแพทย์ผู้ทำการรักษา เบิกความถึงอาการในช่วงเข้ารับการรักษาของนายทักษิณ โดยพยานได้มีการโทรปรึกษาเกี่ยวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคทางหัวใจด้วย ระหว่างการรักษาตัว นายทักษิณ มีอาการป่วยด้วยโรคอื่น แพทย์แนะนำให้ผ่าตัด แต่นายทักษิณปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งนี้ แพทย์ยืนยันว่า ให้การรักษาตามจรรยาบรรณของแพทย์ ไม่รู้เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับการส่งตัว หรือการส่งกลับผู้ป่วยที่มาจากเรือนจำ
พยานรายที่ 3 ยังเบิกความอีกว่า พอรักษาไปสักพัก ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัว สามารถส่งกลับไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ได้ เเละเคยเห็นนายทักษิณ ไปนั่งที่โซฟาภายในห้องพัก นอกจากจะนอนอยู่เเค่ที่เตียง ส่วนที่ได้เป็นเเพทย์เจ้าของไข้ทักษิณเพราะว่า เป็นเเพทย์ที่รับไข้คนเเรก
ขณะที่ในช่วงบ่าย ศาลเริ่มเบิกความพยานรายที่ 4 เป็นแพทย์ผู้ช่วยการผ่าตัดอาการบาดเจ็บของจำเลย และควบคุมดูแลการพักรักษาหลังการผ่าตัด โดยจำเลยได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวไหล่ขวาขาด ระหว่างพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ และสอบถามเกี่ยวกับประเด็นใบรับรองของแพทย์ เนื่องจากตามหลักฐานที่ศาลมี พยานรายดังกล่าวเป็นผู้ลงชื่อกำกับใบรับรองแพทย์ของจำเลย ซึ่งพยานให้การต่อศาลยืนยันในสองส่วนคือ ใบรับรองแพทย์เป็นการใส่รายละเอียดการป่วยโดยทั่วไปของจำเลยตามจริงเท่านั้น รวมทั้งไม่ทราบว่าใบรับรองแพทย์ดังกล่าวที่มีลายเซ็นตนเองนำไปใช้เพื่อการใด
พยานรายที่ 5 นายแพทย์อายุรกรรมเชี่ยวชาญด้านหัวใจ โรงพยาบาลตำรวจ ได้ทำการเบิกความต่อศาลว่าทำการดูแล และ ให้คำปรึกษาจำเลยที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวเดิมที่มีประวัติการรักษาจากต่างประเทศ และ ดูแลอาการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุของการส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 23 ส.ค.66 และให้คำปรึกษาอีกครั้งถึงความเสี่ยงระดับกลางของจำเลยที่อาจส่งผลต่อโรคประจำตัวในตอนที่เข้ารับการผ่าตัดอาการบาดเจ็บ พร้อมทั้งให้ความเห็นต่อศาลถึงความจำเป็นในการพักรักษาตัวต่อที่ รพ.ตำรวจ และให้ข้อสังเกตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคของจำเลยต่อศาล
พยานรายที่ 6 เบิกความยืนยันว่า การตรวจรักษานายทักษิณตั้งแต่การผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขาด ซึ่งมีภาวะที่หากไม่มีอาหารแทรกซ้อนก็จะส่งตัวกลับโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้หลังจาก 7 วัน แต่ตัวนายทักษิณเป็นผู้มี่มีอาการแทรกซ้อน จึงมีเหตุต้องให้รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล นอกจากนี้พยานรายที่ 6 ได้ยื่นเอกสารการรักษาตัวของนายทักษิณ
โดยศาลมีคำสั่งเลื่อนไปไต่สวนพยานบุคคลต่อในวันที่ 25 ก.ค. ตามที่นัดไว้เดิม โดยเป็นการนำแพทย์จากแพทยสภาเข้ามาเบิกความจำนวน 3 ปาก และอนุญาตให้จำเลยนำศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าไต่สวนในวันที่ 30 ก.ค.นี้