
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสวนา Special Talk หัวข้อ "เชื่อมั่นประเทศไทย: โจทย์ใหญ่รัฐบาล?" ที่ "สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ" จัดขึ้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยได้กล่าวถึงการดำเนินการของรัฐบาลต่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ว่า เบื้องต้น ได้มีการหารือกันในวิปรัฐบาล กับผู้แทนคณะรัฐมนตรีว่า อาจจะมีการเลื่อนการพิจารณา หรือถอนร่างกฎหมายกลับมาที่คณะรัฐมนตรีก่อน
นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า รัฐบาลไม่ได้ห่วงกังวลเรื่องเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎร เพราะรัฐบาลยังมั่นใจในเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล เพียงแต่คณะรัฐมนตรีที่เพิ่งเข้าปฏิบัติหน้าที่ มีรัฐมนตรีใหม่หลายคน ประมาณ 14-15 ตำแหน่ง ก็ควรจะได้มีสิทธิในการตัดสินใจด้วย เพราะการส่งร่างกฎหมายให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาที่ผ่านมานั้น เห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีชุดเดิม แต่เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ และปรับพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ก็ควรนำร่างกฎหมายดังกล่าวที่มีความละเอียดอ่อน กลับมาพูดคุยในคณะรัฐมนตรีให้ตกผลึก หรืออีกทางหนึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดปัญหาหลายมิติขึ้น ทั้งยาเสพติด, ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาก็ยังเป็นปัญหาค้างคา และต้องการการขับเคลื่อนชัดเจน รวมถึงก็ยังมีผู้คัดค้านบนท้องถนน จึงต้องลดโทนลง และมีข้อเสนอให้เลื่อนการพิจารณา หรือถอนร่างกฎหมายกลับมาที่คณะรัฐมนตรีก่อน ถ้าเห็นว่า มีความเหมาะสมแล้ว ก็ค่อยเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง
ส่วนขั้นตอนการการถอนร่างกฎหมายนั้น นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า เนื่องจากคณะรัฐมนตรี ได้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้ว ดังนั้น ก็จะต้องใช้มติคณะรัฐมนตรี และเสียงของสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติเพื่อถอนร่างกฎหมายกลับมา
ส่วนหากเกิดการลงมติแล้ว ฝ่ายค้านตลบหลัง เพื่อเดินหน้าให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา เพื่อหวังจะตีตกร่างกฎหมายนั้น นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แต่ฝ่ายค้าน ก็เป็นผู้เสนอรัฐบาลเองว่า ให้รัฐบาลถอนร่างกฎหมายดังกล่าว และหากฝ่ายค้านจะดำเนินการเช่นนั้น รัฐบาลก็จะต้องมีความมั่นใจในการพิจารณาอยู่แล้ว ดังนั้น รัฐบาล จึงยังมั่นใจในเสียงทั้งหากจะมีมติให้เลื่อน หรือถอนร่างกฎหมาย และมั่นใจในเสียงหากต้องเกิดอุบัติเหตุที่สภาผู้แทนราษฎรจะต้องพิจารณา ซึ่งรัฐบาลก็มั่นใจ และพร้อมชี้แจงถึงความจำเป็นในการเดินหน้านโยบายดังกล่าว
ส่วนการถอนร่างกฎหมายดังกล่าว จะเกี่ยวข้องกับกรณีที่นายกรัฐมนตรี แชร์โพสที่ระบุถึงนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรของรัฐบาล ที่มีกาสิโน 10% ด้วยเป็นการเตะชามข้าวฮุนเซนนั้น นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า อาจจะทำให้เกิดข้อสงสัยได้ แต่ยืนยันว่า การถอนร่างกฎหมายของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน แต่เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้กลับมาทบทวน โดยเฉพาะกับรัฐมนตรีหน้าใหม่ว่า จะร่วมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวด้วยหรือไม่ และลดความขัดแย้ง-เห็นต่างในสังคม
นายจุลพันธ์ ยังกล่าวถึงเป้าหมายของรัฐบาลในการตั้งเป้า GDP ของประเทศให้ถึง 5% ในปีนี้ว่า การตั้งเป้าหมายของรัฐบาล จะต้องมองให้ไกล แม้จะเดินไปไม่ถึง 5% แต่ได้ถึง 3% ก็ถือว่า มีความสุขแล้ว แต่ก็ต้องตั้งเป้าไว้เพื่อความท้าทาย แต่ก็ยังมีปัจจัยจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ ก็ตั้งเป้าว่า GDP ปีนี้ จะเกิน 2% และรัฐบาล ก็จะพยายามออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจ และเดินหน้าเศรษฐกิจ แม้จะมีปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐเมริกาที่กระทบทั้งโลก และยังจะต้องติดตามผลการเจรจาทางการค้าของทีมไทยแลนด์ ที่นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย ซึ่งจากการพูดคุยที่ผ่านมา ก็มั่นใจว่า ประเทศไทยจะไม่ถูกจัดเก็บภาษี 36% ตามที่สหรัฐอเมริกาประกาศมาอย่างแน่นอน แต่ก็เชื่อว่า สถานการณ์การจัดเก็บภาษี จะไม่กลับไปเหมือนก่อนที่ประธานาธิบดีประกาศจัดเก็บภาษีใหม่แน่นอน แต่ก็จะต้องพยายามหาจุดสมดุล และหวังว่า ไทยจะถูกจัดเก็บภาษีไม่เกิน 10% เพราะไทยก็มีความสัมพันธ์ดั้งเดิมกับสหรัฐ และมั่นใจว่า อำนาจการต่อรองของไทยจะไม่แพ้เวียดนามแน่นอน โดยจะให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะกับภาคการเกษตรให้น้อยที่สุด