
28 มิถุนายน 2568 “รวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย” ออกแถลงการณ์ ระบุว่า สถานการณ์การเมืองการปกครองของไทย นับแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลา 93 ปี บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าบรรดาฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง การแต่งตั้ง การรัฐประหาร หรือการเลือกกันเอง มิได้มีเจตนารมย์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งมิได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง จนก่อให้เกิดวิกฤตด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ กระบวนการยุติธรรม ความมั่นคง ดุลสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คุณธรรม จริยธรรม และสังคม อย่างกว้างขวาง ลึก และรุนแรง
เหตุมาจากการที่มีผู้ไม่นำพา ไม่นับถือยำเกรงกฎหมาย กฎเกณฑ์ การปกครองบ้านเมือง ทุจริตฉ้อฉล บิดเบือนอำนาจ ขาดความตระหนักสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล ให้ความสำคัญกับรูปแบบและวิธีการ ยิ่งกว่าหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
นอกจากนี้ ยังมีขบวนการประกอบด้วยกลุ่มบุคคลจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายทุนผูกขาดเหนือตลาดเหนือรัฐ ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่องค์กรอิสระ องค์กรตรวจสอบ รวมตลอดถึงบุคคลที่อาศัยตำแหน่งอำนาจหน้าที่ แอบอ้าง ร่วมกันทำลายรัฐธรรมนูญ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม จริยธรรม และเอกราชอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติและประชาชน ทำลายหลักป้องกันตรวจสอบ และการขจัดทุจริตคอร์รัปชันอย่างรุนแรง ใช้อำนาจปกครองบ้านเมืองตามอำเภอใจ
ทั้งรัฐบาลอยู่ภายใต้การบงการ สั่งการ ครอบงำจากต่างชาติพฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นพฤติกรรมที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาประชาชนคนไทย ทั่วทั้งแผ่นดินต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่า บรรดานายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ไม่นำพาต่อการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม
ที่เลวร้ายที่สุดคือ แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ไร้ความสามารถ ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ออกนโยบายทำลายความมั่นคงสถาบันหลักของชาติ กระทำการในลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ เข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ว่าด้วยความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มีพฤติการณ์ตามที่เป็นข่าวสาธารณะในเชิงสมคบคิด
และแสดงออกซึ่งเจตนาในการใช้อำนาจหน้าที่ ไปในทางตอบสนองความต้องการของอริราชศัตรู ทั้งแสดงตัวตนด้วยคำพูดและการกระทำ ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นฝ่ายเดียวกับอริราชศัตรู ที่มีความมุ่งหมายรุกล้ำ ละเมิดอำนาจอธิปไตย ต้องการยึดครองแผ่นดินไทย รวมถึงทรัพยากรของชาติ ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนคนไทย และขัดต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่นายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน แม้ปรากฏข้อเท็จจริงประจักษ์ชัดตามข่าวสาธารณะ และการยอมรับของนายกรัฐมนตรี บรรดาคณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาล ยังคงสนับสนุนให้ แพทองธาร ชินวัตร ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล จึงอาจถือได้ว่าเข้าร่วมกระทำการกับนายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา กระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเฉกเช่นเดียวกัน
เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความมั่นคง และอำนาจอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีลาออกทันที และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลทันที หมดความชอบธรรมแล้ว
ขอเรียกร้องเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทย ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญ ร่วมมือร่วมใจ สามัคคี ลดเงื่อนไขความขัดแย้ง รวมกันเป็นพลังแผ่นดิน แสดงตนให้นายกรัฐมนตรีลาออกทันที พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลทันที พร้อมทั้งเป็นขวัญกำลังใจ ยืนเคียงข้างทหาร ร่วมกันทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินและอำนาจอธิปไตยของชาติอย่างกล้าหาญมั่นคง
และร่วมกันปรึกษาหารือแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตย และประเพณีการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะสังคมไทย โดยยึดถือหลักศีลธรรม หลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และหลักธรรมาภิบาล อันจะทำให้สามารถขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนา จนเกิดความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และดุลสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สืบไป