23 มิถุนายน 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เชิญผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมมาตรการเตรียมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน(ราคาน้ำมันแพง น้ำมันขาดแคลน) หลังจากสหรัฐอเมริกาโจมตี 3 โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน เมื่อวันอาทิตย์(22มิ.ย.2568) ที่ผ่านมา สร้างความไม่พอใจให้กับอิหร่านเป็นอย่างมาก และรัฐสภาอิหร่านลงมติเห็นชอบในการปิดช่องแคบฮอร์มุซ และอยู่ระหว่างการตัดสินใจของคณะมนตรีแห่งชาติสูงสุด ขณะนี้จึงอยู่ในขั้นการเตรียมปิดช่องแคบฮอร์มูซ ซึ่งเป็นเส้นทางในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้ supply น้ำมันหายไปประมาณ 20% ของความต้องการโลก
ในส่วนของประเทศไทย เป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 90% และมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางประมาณ 60% โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และโอมาน ซึ่งต้องขนส่งทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
กระทรวงพลังงาน ได้มีการเตรียมฉากทัศน์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน หากทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก และระยะเวลาในการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เพื่อดำเนินมาตรการการจัดเตรียมปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศ รวมทั้งการเตรียมหามาตรการช่วยเหลือด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศ ผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ประมาณ 72 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่วนในด้านปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2568 มีน้ำมันดิบ เพียงพอต่อความต้องการใช้ 22 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง (ผ่านช่องแคบฮอร์มุซแล้ว) เพียงพอต่อความต้องการใช้ 20 วัน และน้ำมันสำเร็จรูปเพียงพอต่อความต้องการใช้ 18 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อรักษาเสถียรภาพปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นภายในประเทศ
ส่วนของสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการดูแลด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2568 สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ติดลบประมาณ 35,408 ล้านบาท โดยเป็นบัญชีก๊าซหุงต้มติดลบ 44,403 ล้านบาท และในส่วนของบัญชีน้ำมันสถานะเป็นบวก 8,995 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีการปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซลไปแล้วรวม 4 ครั้ง เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันให้กับประชาชนตามนโยบายของนายพีระพันธุ์
ในส่วนของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ก็ต้องนำเข้าผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน ดังนั้นเพื่อเตรียมรับผลกระทบต่อราคาไฟฟ้า นายพีระพันธุ์ จึงสั่งการให้ กฟผ. เตรียมหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากแหล่งอื่นที่มีราคาถูกเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ด้วยแล้ว
“หลังสถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้น ผมจึงเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการเร่งด่วนเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ โดยการนำเข้าน้ำมันที่ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ได้เตรียมแผนในการจัดหาจากแหล่งอื่นทดแทน โดยต้องคำนึงถึงต้นทุนราคาพลังงานเป็นสำคัญ รวมทั้งเตรียมฉากทัศน์ต่างๆ เพื่อรองรับโดยเฉพาะด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศ และก๊าซ LNG ที่ต้องใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยด้านราคาน้ำมัน ส่วนหนึ่งจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมารักษาเสถียรภาพด้านราคา รวมทั้งอาจจะขอความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ในการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงพุ่งสูงขึ้น ในด้านปริมาณสำรอง ก็จะทำการจัดหาน้ำมันดิบจากแหล่งอื่นในภูมิภาคทดแทนและอาจเพิ่มปริมาณสำรองมากขึ้น ส่วนก๊าซ LNG จะสั่งการให้ กฟผ. เร่งเตรียมหาแหล่งก๊าซ LNG ราคาถูกมาเตรียมไว้
ขอยืนยันว่ากระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมแนวทางการบริหารจัดการด้านราคาและปริมาณสำรองภายในประเทศ หากการสู้รบรุนแรงและยืดเยื้อ จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และขอให้มั่นใจว่ากระทรวงพลังงานจะติดตามสถานการณ์และดำเนินทุกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและปริมาณสำรองน้ำมัน และขอให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดการนำเข้า ก็จะช่วยให้ประเทศลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว