
15 มิถุนายน 2568 นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ที่กำลังมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ที่พนมเปญในขณะนี้ว่า กรณีกัมพูชาจะยื่นเรื่อง 3 ปราสาทและ 1 พื้นที่ไปศาลโลกนั้น ตนติดตามการทำงานของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร มาสักพัก และขอเสนอให้เพิ่มความเข้มข้นในการแก้ไขปัญหา และการสื่อสารข้อมูลกับประชาชน
รวมทั้งการเตรียมการต่อสู้ ทั้งทางกฎหมาย และทางการเมืองระหว่างประเทศ ตั้งแต่เนิ่นๆ เพิ่มเติมจากที่ไทย ได้ยืนยันจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยของไทย และเน้นการเจรจาตามกรอบ MOU 43 แบบทวิภาคีและการประกาศชัดเจนไปแล้วว่า ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกและจะไม่ไปศาลโลก
นายนพดล กล่าวต่อว่า ในการดำเนินงานด้านต่างประเทศในสถานการณ์นี้ ตนเห็นว่า ควรจะดำเนินการเพิ่มเติมใน 4 เรื่อง
1. เชิญผู้แทนสถานทูตต่างประเทศในไทย มาประชุมรับฟังข้อมูลของไทย ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาไทยกัมพูชาเพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่า ไทยเป็นประเทศที่ยึดมั่นในกฎกติกาสากล ไม่ได้ไปละเมิดดินแดนของชาติใด เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติที่มีวุฒิภาวะ มีความน่าเชื่อถือ เพื่อรักษาเกียรติภูมิและภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก
2. ควรให้เจ้าหน้าที่คณะผู้แทนถาวรของไทย ประจำสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาได้พบปะกับคณะผู้แทนถาวรของประเทศ ที่มีที่นั่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ข้อมูลอัปเดตสถานการณ์เรื่องไทยกัมพูชา เพื่อเตรียมการหากกัมพูชานำเรื่องนี้ ไปสู่เวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
3. ควรจัดตั้งคณะทำงานด้านกฎหมาย เพื่อติดตามปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา แม้ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ทั้งนี้เพื่อเตรียมการ เตรียมข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายอันเป็นผลสืบเนื่อง จากที่กัมพูชาจะยื่นเรื่องไปที่ศาลโลก
4. ควรปรับความเข้มข้นในการสื่อสาร และจัดวางบุคคลที่จะต้องสื่อสาร เพื่อให้ได้สัดส่วนกับการให้ข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา ทั้งนี้เพื่อให้ทันการ ครบถ้วน รวดเร็ว และได้นำ้หนักเพื่อให้ความมั่นใจกับคนไทยว่า รัฐบาลสามารถรักษาอธิปไตยของไทยและรักษาความสัมพันธ์ กับประเทศเพื่อนบ้านได้
“ตนเห็นว่าทิศทางใหญ่ที่รัฐบาลยึดมั่นในการเจรจาสองฝ่ายตามกรอบ MOU 43 และการยืนยันไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก เป็นทิศทางใหญ่ที่ชัดเจน แต่ขณะเดียวกันมันมีรายละเอียด และข้อมูลระหว่างทางที่รัฐบาล จะต้องปรับการทำงานให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน ที่ทำงานเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านต่อไป”