15 มิถุนายน 2568 จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปฏิบัติการทางทหารระหว่าง "อิสราเอล" และ "อิหร่าน" ที่มีการใช้ขีปนาวุธ จนสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะที่อิสราเอล ที่มี "แรงงานไทย" จำนวนมากทำงานอยู่ โดยขณะนี้ นายกรัฐมนตรี "แพทองธาร" มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ต่อแรงงานไทยที่อยู่ในประเทศอิสราเอล จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานอย่างใกล้ชิด
กรณีดังกล่าว นายกฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระ จากรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ได้แสดงความคิดเห็นว่า ความเสี่ยงภัยต่อชีวิตและการประกอบอาชีพ ของแรงงานไทยในอิสราเอลจำนวน 35,000-50,000+ คน (ตัวเลขเป็นทางการและตัวเลขที่ไม่เป็นทางการ) ซึ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกวัน
ทำให้หวนถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นขั้นวิกฤตในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลโดยเฉพาะภาษีอากรของรัฐ จัดเครื่องบินอพยพกลับโดยด่วนเป็นจำนวนหลายพันคน ขนส่งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต และการเยียวยาร่างกายและจิตใจ ในหลายกรณีจนถึงปัจจุบันนี้ และอาจเรื้อรังเป็นเวลานานอีกหลายปีข้างหน้า จนกลายเป็นวิกฤตการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครั้งนั้น
รวมทั้งนำมาสู่ความเสี่ยงต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจระดับชาติ และระดับครอบครัวของแรงงานแทบทุกคนที่ยังมีหนี้สินล้นพ้น
และครั้งนี้อาจจะรุนแรงกว่าครั้งที่แล้ว
นายกฤษฎา ระบุว่า การที่เศรษฐกิจระดับส่วนตัวและระดับชาติ พึ่งพารายได้จากแรงงานไทย ที่จำเป็นต้องไปประกอบอาชีพด้วยความเสี่ยง ในประเทศที่อยู่ในภาวะอันตราย และฉุกเฉินตลอดเวลาอย่าง "อิสราเอล" เป็นการ “ได้ระยะสั้นแต่เสียระยะยาว”
การประกาศของรัฐบาลเพื่อให้ระมัดระวัง และเตรียมตัวให้พร้อมรับสถานการณ์โดยไม่ประมาทนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะควร
แต่ก็เป็นสิ่งที่คาดการมาโดยตลอดว่าจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
จึงเป็นสิ่งที่น่าวิเคราะห์วิจารณ์อย่างจริงจังว่า "นโยบายการส่งเสริมสนับสนุนต่อไป หรือการไม่กล้าเปลี่ยนแปลง หรือไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปของรัฐบาล เป็นการทำหน้าที่เหมาะสมถูกต้องแล้วเพียงใด"
เจ้าหน้าที่ภาครัฐและฝ่ายเอกชน ทั้งระดับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จนถึงลูกจ้างในท้องถิ่น และอาสาสมัครองค์กรกุศลต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งช่วยประสานงานแก้ไขวิกฤติโดยเหนื่อยมากครั้งที่แล้ว เดี๋ยวครั้งนี้ก็เหนื่อยอีก เช่นเดียวกับชาวไทยทุกคนที่ร่วมใจกันช่วยเหลือทุกด้านที่ทำได้ เพื่อเยียวยาเหยื่อของวิกฤตครั้งที่แล้ว
ผมได้สนทนากับหลายคน หลายกลุ่ม ตั้งแต่ครั้งนั้น จนยังติดต่อกันถึงปัจจุบัน และน้ำตาของพวกเขาไม่รู้จะหลั่งกี่รอบแล้ว
เรื่องนี้ “เป็นสิ่งที่เรารู้เสมอว่าจะเกิดขึ้นอีก” และทูตนอกแถว ผู้ช่วยรัฐมนตรี รัศม์ ชาลีจันทร์ ก็เคย ให้สัมภาษณ์หลังจากการลงพื้นที่หลายครั้งที่อิสราเอล เพื่อหาข้อเท็จจริง ว่า "จำนวนแรงงานไทยที่จะเสี่ยงทำงานต่อไปในอิสราเอล หรือจะเดินทางไปอีกนั้นไม่ได้ลดลง แต่แถมจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 60,000 คนด้วยซ้ำไป"
จะอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ไม่ได้ เพราะข่าวสารข้อมูลในปัจจุบันมีมากพอที่จะใช้ในการตัดสินใจ ทั้งระดับแรงงานและผู้ควบคุมนโยบายของรัฐ
จึงคงเป็นการยอมพลีชีพไปตายเอาดาบหน้าเพื่ออนาคต รู้ทั้งรู้แต่ทำอย่างไรได้ เจ็บก็เจ็บ ตายก็ตาย บ้านเราก็อดอยาก ไม่มีใครช่วยได้นอกจากเราต้องช่วยตัวเอง
แต่เราจะไม่ใช้วิกฤตมาเป็นบทเรียนเลยหรือ?
ผมให้ความเห็นข้างต้น ย้ำแล้วย้ำอีกบ่อยครั้งมาก กับกลุ่มข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และกลุ่มรัฐศาสตร์การทูตฯ และผ่านสื่อมวลชนอาชีพ รวมทั้งโซเชียลมีเดีย เพื่อเรียกร้องความสนใจอย่างเร่งด่วนในเรื่องนี้ ก่อนที่จะกลายเป็นข่าวการอพยพโดยกองทัพอากาศ ใช้ภาษีอากรของรัฐที่ขาดแคลน เพื่อขนส่งคนเจ็บและหีบศพคลุมธงชาติไทยกลับมาตุภูมิ
กระทรวงบัวแก้วอ่อนแอมากในยุคนี้ โดยเหตุใดก็อาจมองได้ เป็นความประมาทหรือเจตนา?
ซึ่งข้าราชการกระทรวงต่างประเทศหลายคน ก็นำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นใหญ่ในกระทรวง ย้ำแล้วย้ำว่า เรื่องนี้เป็นวิกฤตเร่งด่วน เพราะภูมิรัฐศาสตร์โลกรุ่มร้อนมาก อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และผลงานของกระทรวงต่างประเทศในปัจจุบันเป็นอย่างไร ก็คงประเมินกันได้
วิกฤตและความเสี่ยงที่สะเทือนเสถียรภาพของรัฐบาล และอาจลามถึงระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์ต่างประเทศ ที่ปัจจัยและเงื่อนไขเปลี่ยนเร็วมาก "เป็นวิวัฒนาการที่ต้องใช้การปรับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีให้ทันเวลา"
วิธีการบริหารงานเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองในปัจจุบันนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และจะทำอย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป
"หากเดิมใช้เวลาหนึ่งปี ก็ต้องหันมาลดให้เหลือหนึ่งเดือน หากเดิมใช้หนึ่งเดือน ต้องลดให้เหลือหนึ่งวัน เป็นต้น"
เมื่อโลกร้อนรอบประเทศ เราควรที่จะมีกระทรวงต่างประเทศที่เข้มแข็ง และเป็นกระทรวงเกรด A เหมือนในอดีต ไม่ใช่เป็นองค์กรที่ถูกลดความสำคัญตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นปัจจุบัน
หรือจะต้องรอ "หรือจะต้องเร่ง" ให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ไม่ว่าจะปรับคณะรัฐมนตรีหรือยุบสภา เพื่อการเลือกตั้งใหม่ให้อำนาจประชาชนตัดสินใจครับ