
13 มิถุนายน 2568 เวลา 09.30 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 อัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก แต่ได้มีการส่งตัวนายทักษิณไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ อาจมีการบังคับโทษที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุด
โดยในส่วนของ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงต่อศาลแล้ว ส่วนอธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2568 และวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ตามลำดับ
พร้อมกันนี้ ได้ไต่สวน นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รวมทั้งมีคำสั่งให้ มีหมายเรียกพยานจำนวน 20 ปาก มาไต่สวนในวันที่ 4 , 8 และ 15 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. ทุกนัด
ส่วนกรณีทนายความ นายทักษิณ ชินวัตร ได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาในการส่งเอกสารคำชี้แจงต่อศาลออกไป 30 วัน แต่ศาลอนุมัติให้ขยายเวลาเพียง 10 วัน โดยกำหนดส่งเอกสารภายในวันที่ 23 มิถุนายน 2568
สำหรับการไต่สวน นายมานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นั้น ศาลได้ไต่สวนในขั้นตอนของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ซึ่งเป็นข้อสงสัย หลังศาลได้อ่านเอกสารคำชี้แจง กว่า 1 ชั่วโมง
ศาลได้ถามถึงกระบวนการในวันส่งตัวนายทักษิณ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ว่าได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ มีการตรวจและปฏิบัติกับนายทักษิณอย่างไร ทางนายมานพ ชี้แจงว่า ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ได้รับตัวนายทักษิณจากศาล มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเวลา 14.00 น. ซึ่งมีการตรวจร่างกาย โดย พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ได้ตรวจร่างกายและเขียนใบรับรองว่า มีโรคความดันสูงโรคหัวใจอยู่ในกลุ่ม 608 พร้อมเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าหากฉุกเฉิน จะสามารถส่งตัวได้ทันทีเมื่อมีอาการ ทางเจ้าหน้าที่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือ และรับมอบประวัติการรักษาจากต่างประเทศ มีการตรวจค้น ตรวจตัวและบันทึกลงระบบ
จากนั้นในเวลา 22.00 น. พยาบาลของสถานพยาบาลภายในเรือนจำ ได้เข้าไปตรวจนายทักษิณ พบว่ามีความดันผิดปกติ ออกซิเจนมีความผิดปกติ แน่นหน้าอก นอนไม่หลับ แขนขาอ่อนแรง จึงได้โทรไปปรึกษาหมอของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าสามารถส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำได้ ทางพัสดีเวรจึงมีคำสั่งตามคำวินิจฉัยแพทย์ ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ
ศาลจึงได้ถามว่า ปกติมีการเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าหรือไม่ นายมานพ ยืนยันว่า มี ทำเป็นปกติในกรณีผู้ป่วยกลุ่ม 608 แต่กรณีของนายทักษิณ ตนไม่ทราบเหตุผล ส่วนอาการในคืนนั้นของนายทักษิณ ตรงกับใบส่งตัวล่วงหน้าเลยใช่หรือไม่ นายมานพ กล่าวว่า เห็นแค่ในรายงานเอกสาร แต่ส่วนตัวไม่เห็น
ศาลจึงได้ทวงถามถึงประวัติการรักษาจากต่างประเทศของนายทักษิณ เนื่องจากไม่มีการส่งหลักฐานให้กับศาล พร้อมถามถึงรายละเอียดการส่งตัวของผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำมีขั้นตอนอย่างไร และอาศัยตามอำนาจกฎหมายใด ตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามระเบียบราชทัณฑ์ 2563 เนื่องจากมีความแตกต่างกัน
นายมานพ ได้ชี้แจงว่า เป็นขั้นตอนตามมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ปี 2560 และกฎกระทรวง ว่าสามารถส่งตัวผู้ต้องขัง ที่มีอาการป่วยในเวลาปกติได้ ซึ่งก็คือในเวลาราชการ โดยตามระเบียบจะต้องประเมินอาการในสถานพยาบาลในเรือนจำก่อน หากมีอาการหนักก็จะส่งตัวไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทุกกรณี และหากมีอาการหนักกว่าเดิมสามารถส่งไปรักษาตัวโรงพยาบาลนอกเรือนจำได้ ส่วนก่อนหน้านี้จะมีนักโทษในคดีทางการเมืองถูกส่งไปรักษานอกประจำแบบนายทักษิณหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ในระยะเวลาที่ตนดำรงตำแหน่งมานั้นมี เช่น ผู้ป่วยจิตเวช ผู้ป่วยมะเร็ง
ศาลจึงถามต่อว่า ตอนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปควบคุมตลอดเวลาหรือไม่ นายมานพ กล่าวว่า มีการส่งไปตลอดมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ 4 นาย เวรละ 2 นาย สลับกลางวันกับกลางคืน แต่เจ้าหน้าที่ 1 คนสามารถเข้าเวรต่อเนื่องได้ โดยจะมีการลงชื่อในสมุดเข้าเวร และมีการเซ็นเบิกค่าเงินเข้าเวร ศาลจึงได้ขอหลักฐานการเบิกเงินเข้าเวร จะให้ส่งมาพร้อมกับประวัติการรักษาตัวนายทักษิณในต่างประเทศ ภายใน 15 วัน
จากนั้นศาลได้เปิดให้คู่ความ ไต่สวนพยานได้แต่จะต้องไม่เป็นการซักค้านศาล โดยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ได้ขออนุญาตต่อศาลเพื่อ สอบถามข้อมูลบางส่วนกับพยานโดยตรงในชั้นไต่สวน ศาลได้ชี้แจงต่อทนายความจำเลยว่า ไม่สามารถอนุญาตให้ทนายความจำเลย ถามคำถามต่อพยานได้โดยตรง แต่ศาลจะเป็นผู้พิจารณาแต่ละคำถามตามความเหมาะสม
โดยทนายวิญัติ ได้เริ่มถามข้อที่ 1 ว่า การส่งตัวผู้ต้องขังที่ป่วยออกไปรักษาโรงพยาบาลนอกความดูแลของกรมราชทัณฑ์ ทางกรมราชทัณฑ์ได้ทำ MOU ร่วมกับโรงพยาบาลอื่นหรือไม่ เช่น โรงพยาบาลตำรวจ ศาลได้ตอบแทนพยาน ว่า ส่วนนี้ทางกรมราชทัณฑ์มี MOU ในเอกสารอยู่แล้ว
ทนายจึงถามข้อที่ 2 ต่อว่า ที่ผ่านมาทางเรือนจำ มีกรณีใดหรือไม่ ที่ส่งตัวผู้ต้องขังที่ป่วยไปรักษาตัวภายนอก โดยไม่ผ่านขั้นตอนโรงพยาบาลเรือนจำฯ แต่คำถามนี้ศาลไม่อนุญาตให้ถาม เนื่องจากเป็นการถามค้านศาล
ส่วนข้อที่ 3 พยานรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ ว่า ผู้ต้องขังมีประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศ ไม่ใช่เพิ่งมีอาการ นายมานพ ระบุว่า ไม่ทราบ
ข้อที่ 4 พยานทราบหรือไม่ว่า ในระหว่างปฏิบัติราชการอยู่ มีการคุมตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาที่นอกเรือนจำทั้งประเทศจำนวนเท่าใด โดยศาลไม่อนุญาตให้ตอบ
ข้อที่ 5 ตามกฎกระทรวงเรื่องการคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำเจ้าหน้าที่ต้องมีการควบคุมตัวตลอดเวลาใช่หรือไม่ ประเด็นนี้ ศาลแจ้งกลับว่า ในข้อคำถามดังกล่าวศาลได้กำหนดนัดหมายเรียกพยาน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ที่ควบคุมตัวนายทักษิณมาไต่สวนแล้ว จึงไม่อนุญาตให้ถาม
ข้อที่ 6 จากการที่พยานกล่าวว่า แนวทางปฏิบัติกฎกระทรวงปี 2563 พยานไม่มีส่วนในการร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ทั้งนี้มาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำ(SOP) ถือว่าเกิดขึ้นก่อนหน้ากรณีของนายทักษิณใช่หรือไม่ นายมานพ ยืนยันว่า ใช่
ข้อที่ 7 การที่ราชทัณฑ์มารับตัวผู้ต้องขังจากศาลฎีกา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 วิธีการซักประวัติถ่ายรูปตรวจร่างกายถือว่าเป็นการรับโทษแล้วหรือไม่ แต่ ศาลไม่อนุญาตให้ถาม เพราะจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง
ข้อที่ 8 พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในเรือนจำมี 1 คนต่อ 1 รอบเวรใช่หรือไม่ นายมานพ ระบุว่า พยาบาล 1 คน ต่อ 1 เวร จะต้องดูแลผู้ต้องขังจำนวน 4,000 คน
ส่วนข้อที่ 9 กลุ่ม 608 คือ กลุ่มอะไร แต่ในข้อคำถามนี้ศาลแนะนำว่า ควรจะสอบถามไปทีมแพทย์มากกว่า เพราะมีความรู้เฉพาะเจาะจง แต่นายวิญญัติ ยืนยันว่าจะถามผู้บัญชาการเรือนจำ ว่า เข้าใจหรือไม่ว่าคนไข้กลุ่ม 608 คือใคร ศาลจึงอนุญาตให้ผู้บัญชาการเรือนจำชี้แจง ซึ่งระบุว่า กลุ่ม 608 หมายถึงกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ป่วยด้วย 8 โรค กลุ่มนี้ทางเรือนจำจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดการเรียกว่ากลุ่ม 608 เกิดขึ้นในสมัยการแพร่ระบาดของโควิด
ต่อมาเวลา 10.30 น ทนายวิญญัติ ขออนุญาตอ่านคำชี้แจงต่อศาลว่า ขอขยายระยะเวลาการส่งเอกสารเพิ่มเติมภายใน 23 มิถุนายน 2568 นี้ และขอเบิกตัวพยานฝ่ายจำเลยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจะส่งรายชื่อและรายละเอียดให้ศาลพิจารณาก่อนว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยศาลได้ระบุว่าในคดีดังกล่าวจะมีการไต่สวนอีกหลายนัดและมีการเรียกพยานมา และขอให้ทำเรื่องมาซึ่งศาลจะวินิจฉัยเองว่าได้หรือไม่ได้
พร้อมกันนี้นายวิญญัติ ได้ขอต่อศาลว่าขอไม่ให้มีนัดในเดือนกรกฎาคม 2568 เนื่องจากนายทักษิณ มีกำหนดนัดคดี ม.112 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ต้องไปปรากฏตัว โดยศาลได้ชี้แจงว่า ทั้งศาลเองก็มีข้อจำกัดในการกำหนดนัดผู้พิพากษาและการจัดเตรียมสถานที่ จึงขอให้ทีมทนายความจัดสรรเวลาและผู้มาฟังการไต่สวน เพราะนายทักษิณไม่จำเป็นต้องเดินทางมาด้วยตนเอง สามารถมอบหมายทนายความให้เป็นตัวแทนได้
แต่นายวิญญัติ ได้ชี้แจงว่า อยากขอความเมตตาเนื่องจากตนเองเป็นทนายความเพียงคนเดียวที่ได้เข้าเยี่ยมนายทักษิณ ขณะที่พักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ อีกทั้งนายทักษิณ จำเป็นต้องมีทนายความที่ไว้วางใจในการเดินทางขึ้นศาลในแต่ละครั้ง
อย่างไรก็ตาม ศาลได้นัดไต่สวนพยานในครั้งถัดไป คือ วันที่ 4,8,15,18,25 และ 30 ก.ค. 2568 พร้อมเรียกพยานสอบ 3 นัดถัดไป รวม 20 ปาก ซึ่งประกอบด้วย พยาบาลในสถานพยาบาลในเรือนจำ พิเศษกรุงเทพฯ แพทย์ใน ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ อดีตผู้บัญชาการเรือนจำฯ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์มาชี้แจง พร้อมเรียกเอกสาร รายงานของ กสม.และมติแพทยสภา ที่มีการพิจารณากรณีส่งตัวรักษานายทักษิณ ชั้น 14 เพิ่มเติมจาก ป.ป.ช.