
ผลพวงจากสถานการณ์การปะทะระหว่างทหาร ไทย – กัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ชายแดน ไทย – กัมพูชา ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังอยู่ในขั้นการดูเชิง โดยฝ่ายไทยต้องการใช้กลไกทวิภาคี ในการเจรจา JBC วันที่ 14 มิถุนายน 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดน ไทย – กัมพูชา ขณะที่ประเทศกัมพูชา มีทิศทางจะฟ้องศาลโลก หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ขณะที่ฝ่ายทหารไทย มีการเตรียมความพร้อมฝึกทบทวนและแสดงแสนยานุภาพ
นอกจากนี้ กระแสส่วนหนึ่ง ให้ความสนใจเกี่ยวกับกำลังพลสำรอง ว่ามีโอกาสจะถูกเรียกระดมพลหรือไม่
หมายถึง กำลังที่มิใช่กำลังประจำการและกองประจำการที่เตรียมไว้เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ แต่คือการประกอบกันของกำลังกลุ่มต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย กำลังพลสำรอง กำลังกึ่งทหาร กลุ่มพลัง มวลชนจัดตั้ง โดยมีกฎหมายรองรับ และกลุ่มพลังมวลชนอื่นๆ กำลังสำรอง ประกอบด้วย กำลังต่างๆ 4 กลุ่ม ได้แก่
จะเห็นได้ว่า กำลังสำรอง เป็นกำลังที่ประกอบขึ้นจากกลุ่มบุคคลทุกสถานภาพทาง สังคม ไม่จำกัดเพศ อายุ อาชีพ การศึกษา ขอเพียงมีเป้าหมายเดียวกัน คือ มีจิตสำนึกรักชาติ และอาสาเข้าร่วมกับ กลุ่มพลังมวลชนต่างๆ ที่ได้จัดตั้งขึ้น
ในยามสถานการณ์บ้านเมืองเป็นปกติ จะเป็นการรวมตัวกันเพื่อทำ ประโยชน์ให้กับประเทศชาติตามขีดความสามารถของตน สรุปสั้นๆ ได้ว่า กำลังสำรอง คือพลังแห่งมวลชน คือ พลังแห่งการรักษาดินแดน
การเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร หมายความว่า การนำกำลังพลสำรอง เข้าปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม โดยการเรียกกำลังพลสำรอง เพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อปฏิบัติราชการ หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม และในการระดมพล ตามกฎหมาย ว่าด้วยกำลังพลสำรอง ซึ่งประกอบด้วย การเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารแบบไม่เต็มเวลา และการ เรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารแบบเต็มเวลา