
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี ได้เสนอต่อประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาในวาระแรก ภายหลังการอภิปรายของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายเสร็จสิ้นว่า โครงสร้างเศรษฐกิจที่แท้จริง จะต้องผลักดันด้วยเอกชน เช่น ในช่วงเศรษฐกิจไทยมี GDP 6 – 10% ช่วงดังกล่าว การลงทุนทั้งหมด เป็นประมาณ 40% ของการลงทุน ซึ่งเป็นการลงทุนของภาคเอกชน และภาครัฐมีการลงทุนเป็นส่วนน้อย ซึ่งหากจะผลักดันเศรษฐกิจ จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่ขณะนี้ การลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีเฉลี่ยเพียง 20% หรือหายไปครึ่งหนึ่งจากภาคเอกชน เพราะ SMEs ลดลง ห่วงโซ่อุปทานลดลง ผู้ค้าลดลง ไม่เกิดการจ้างงาน และสินค้าส่งออกไม่มีการเพิ่มมูลค่า โดยเฉพาะภาคการเกษตรบางชนิดไม่มีกำไร ซึ่งเป็นปัญหาโครงสร้างเกษตรกร
ส่วนการตั้งงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอให้มองในมุมคนนอก ที่รัฐบาลตั้งงบประมาณขาดดุลกว่า 850,000 ล้านบาทติดกัน 2 ปี หรือคิดเป็น 4% แต่ในระบบงบประมาณทุกประเทศนั้น ใน 850,000 ล้านจะมีการคืนเงินต้น 150,000 ล้าน และกลับมากู้ใหม่ จึงเรียกว่าเป็นการขาดดุล ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงจะเป็นราว 3% กว่า หรือ 700,000 ล้านบาท พร้อมยอมรับว่า ทุกปีจะมีการปรับตัวเลขการขาดดุล และลดรายจ่ายประจำ ซึ่งผูกพันกับระบบราชการที่เรื้อรัง และรายได้ของรัฐ แม้จะมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือการปรับตัวเลข GDP จาก 3% เป็น 1.8% แต่ก็มั่นใจว่า รัฐปีนี้จะสามารถจัดเก็บรายได้ให้ตรงตามเป้าหมายได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงงบประมาณ 157,000 ล้านบาทของรัฐบาล ที่แปลงจากงบประมาณสำหรับดิจิทัลวอลเล็ต เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะสั้นว่า การใช้งบประมาณดังกล่าว มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และสถานการณ์ พร้อมยืนยันว่า การจัดทำงบประมาณ 2569 นี้ รัฐบาลได้ดำเนินการบนพื้นฐานเดิม และอยากให้ สส.ช่วยกันพิจารณาอย่างละเอียด และสามารถแปรญัตติได้ รวมถึงการจัดทำงบประมาณ จะสนับสนุนให้ภาคเอกชน มีความไว้ใจ และมั่นใจ นำไปสู่การลงทุนในอนาคต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังย้ำว่า งบประมาณ 2569 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยน หลังสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งน่าจะไม่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้น และจะให้เศรษฐกิจพึ่งพาในประเทศมากขึ้น รวมถึงแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วยงบประมาณรัฐ หรือมาตรการการลงทุนผ่านกองทุนของเอกชน หรือให้เอกชนมีรายได้ เพื่อเลี้ยงดูตนเอง และสนับสนุน PPP ให้มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และให้เกิดการลงทุนที่อยู่นอกงบประมาณมากขึ้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำอีกว่า งบประมาณ 2568 คำนึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขโครงสร้าง พร้อมเห็นด้วยที่จะต้องปรับปรุงระบบราชการให้ทันสมัย และเล็กลง เพื่อลดรายจ่ายประจำของรัฐบาล พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองมีแผนงบประมาณ เพื่อให้การขาดดุลอยู่ที่ 3-3.5% และมี Real GDP ที่ 3% ค่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 1.5 หนี้สาธารณะต่อ GDP ก็จะคงที่ในระดับเดิม ดังนั้น การจะลดหนี้ จะต้องคงระดับเศรษฐกิจที่เหมาะสม และทำระบบขาดดุลที่เหมาะสม เนื่องจาก เป็นประเทศที่กำลังเติบโต ดังนั้น การขาดดุล จึงยังเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่จะต้องสมดุลต่อหนี้ GDP อยู่ในระดับที่ยอมรับได้