
7 พฤษภาคม 2568 ที่กระทรวงพาณิชย์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2568 โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการพบกันในรอบหนึ่งเดือน ตนเดินทางมากระทรวงพาณิชย์เป็นครั้งแรก ทั้งนี้ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ได้รับข้อเสนอจากทุกคนซึ่งมีประโยชน์มาก ตรงประเด็น เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยว man-made destination รวมไปถึงการเรื่อง traffic Fondo เป็นช่องทางร้องเรียนหลักของรัฐบาล จึงให้ทุกกระทรวงช่วยกันขยายผล เพื่อให้รัฐบาลมีส่วนกลางในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
ขณะเดียวกัน ตนได้พูดคุยกับปลัดกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับมาตรการการสวมสิทธิ์สินค้าไทย และการแก้ปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายไทย ตอนนี้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่เอื้อต่อการสวมสิทธิ์หรือตามประกอบธุรกิจที่เป็นนอมินี
นอกจากนี้ ต้องทบทวนในเรื่องเงื่อนไขการเสนอการลงทุน อะไรที่จะมีการจ้างงานของแรงงานไทย และใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ รวมถึงการออกใบรับรองสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รสมถึง one stop service ขอให้กระจายไปทุกกระทรวงเพื่อสนับสนุนข้อมูลในเรื่องของการลงทุน เพื่อลดขั้นตอนและประหยัดเวลาด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเรื่องงบประมาณที่ ผอ.สำนักงบ ได้รายงานเดือนที่แล้วว่า ในปีนี้จะมีการลงทุนเบิกจ่ายเม็ดเงินลงระบบไปกว่า 500,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34% ของงบลงทุนทั้งหมด ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าดีขึ้นอย่าง แต่สามารถดีขึ้นได้อีก จึงขอความร่วมมือจากทุกกระทรวง หากติดปัญหาตรงไหนก็ยินที่จะรับฟัง
ทั้งนี้ บทบาทของกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องของสินค้าเกษตรไทย อยากให้เร่งเรื่องนี้ เพราะทราบมาว่าผลไม้ไทยหลายชนิดจะล้นตลาด จึงขอแรงสนับสนุนจากข้าราชการทุกกระทรวง รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ หากจะมีการรับซื้อจากเกษตรกร ขอให้ปรึกษากับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อช่วยสนับสนุนสินค้าของเกษตรกรป้องกันไม่ให้สินค้าล้นตลาด รวมไปถึงต้องมีการวางแผนว่า จะมีการซื้อและบริหารจัดการสินค้าอย่างไรบ้าง
ขณะที่ โครงการ Thai select อยากให้หามาตรการรับรองและสนับสนุนว่า สามารถทำอย่างไรบ้างในต่างประเทศ ขอให้คุยกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อซัพพอร์ตธุรกิจไทยในต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำเรื่องของราคาสินค้าอยากให้ช่วยกันพยุงสินค้าเกษตรให้มีประสิทธิภาพ ไม่อยากให้มีพ่อค้าคนกลาง เพราะจะเกิดการกดราคาสินค้า และเป็นปัญหาเรื่องต้นทุน รวมถึงให้พูดคุยกับภาคเอกชนว่า จะร่วมมือกันได้อย่างไร
กระทรวงพาณิชย์ยังมีความรับผิดชอบ การขับเคลื่อนการค้าและการลงทุน รวมถึงการรับมือผลกระทบของมาตรการการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้กำลังทำอยู่ แต่ก็พยายามใช้ FTA กับประเทศอื่นๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในเรื่องสินค้าต่างๆ ก็ต้องดูประกอบกันไปด้วยทั้ง FTA และสหรัฐให้เกิดความสมดุล