
คดี “โพยฮั้ว สว.” ได้ข้อสรุปเบื้องต้นระหว่าง 2 หน่วยงาน คือ กกต. กับ ดีเอสไอแล้ว ว่าจะมีการเดินหน้าสอบกระบวนการได้มาซึ่ง สว.โดยมิชอบ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ซึ่งเป็นอำนาจของ กกต.โดยตรง และลุยสอบสวนเอาผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งเป็นอำนาจของดีเอสไอ ในการรับเป็น “คดีพิเศษ”
แหล่งข่าวระดับสูงจากทั้งสองหน่วยงาน ให้ข้อมูลกับ “เนชั่นทีวี” ตรงกันว่า การประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ. ในวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคมนี้ กคพ.จะมีมติรับคดี “ฟอกเงิน” และ “อั้งยี่” ในการทำโพยฮั้ว สว. เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากความผิดฐานฟอกเงิน เป็นหนึ่งในความผิดตามบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ อยู่แล้ว ส่วนความผิดฐานอั้งยี่ เป็นความผิดประกอบ ในการอธิบายกระบวนตั้งต้นของการตั้ง “คณะบุคคล” ที่ปกปิดวิธีการทำงาน เพื่อกระทำผิดกฎหมายบางอย่าง
โดยความผิดฐานฟอกเงิน เป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ หรือ กฎหมายดีเอสไอ ฉะนั้นการลงมติรับเป็นคดีพิเศษจึงใช้เสียงเพียง “กึ่งหนึ่ง” ของ กคพ.เท่านั้น จึงคาดการณ์ว่าไม่น่ามีปัญหาในการลงมติวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม
ส่วนความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ฟากฝั่ง กกต.จะรับไว้ไต่สวน โดยคาดว่าจะมีมติก่อนวันที่ 6 มีนาคม ในลักษณะ “แยกกันทำงาน” กับดีเอสไอ
แหล่งข่าวจาก กกต. เผยว่า ในวันพุธที่ 5 มีนาคม อาจไม่มีความจำเป็นต้องมีการประชุมร่วมกันระหว่าง ดีเอสไอ กับ กกต.ด้วย เพราะขณะนี้ทิศทางการตรวจสอบลงตัวชัดเจนแล้ว
สาเหตุสำคัญที่ กกต.ไม่สามารถ “ดึงเรื่อง” ไว้ได้อีกต่อไป เนื่องจากการเปิดข้อมูลเชิงลึกของขบวนการทำโพยฮั้ว สว. ซึ่งได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง และผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ามีการ “ฮั้วจริง” หาก กกต.ไม่ดำเนินการ อาจมีกระบวนการยื่นเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
เปิด 3 กลุ่มเป้าหมาย DSI ลุยฟันโพยฮั้ว สว.
ฟากฝั่ง ดีเอสไอ พุ่งเป้าเอาผิดกลุ่มบุคคล 3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “ขบวนการจัดทำโพยฮั้ว สว.” ประกอบด้วย
1.กลุ่มบุคคลผู้มีอำนาจตัดสินใจ - เป็นคนจากฝ่ายการเมือง สังกัดพรรคการเมืองพรรคหนึ่งทั้งหมด
2.กลุ่มบุคคลผู้วางแผนการกระทำความผิด และจัดวางระบบปฏิบัติการ หรือโปรแกรมออฟไลน์ - เป็นคนจากพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ร่วมมือกับนักคณิตศาสตร์ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการทำโปรแกรมไอที ซึ่งเป็นพลเรือนทั่วไป ไม่ใช่นักการเมือง
3.กลุ่มกรรมการบริหารของคณะบุคคล - เป็นโครงสร้างส่วนบนของ “เครือข่ายอั้งยี่” เป็นผู้มีอำนาจในพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองที่ร่วมกันจัดทำ “โพยฮั้ว สว.” โดยมีเส้นทางเงิน และข้อมูลการใช้โทรศัพท์่เชื่อมโยง
สำหรับหลักฐานของดีเอสไอ ได้มาจาก 5 แหล่งคือ
1.บันทึกถ้อยคำพยานบุคคล
2.การตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัล
3.การตรวจสถานที่เกิดเหตุ สถานที่จัดฮั้ว สว.
4.พยานเอกสารเกี่ยวกับโพยฮัว สว.
และ 5.บุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการ บางส่วนก็มีชื่อใน 1,200 รายชื่อที่หลุดออกมาทางโซเชียลมีเดียช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“นายใหญ่พบครูใหญ่” แต่ไม่ใช่เกี้ยเซี้ย
อีกด้านหนึ่ง มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการเมืองภาพใหญ่ โดยเฉพาะปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาล ล่าสุดมีแหล่งข่าวยืนยันชัดเจนแล้วว่า มีการนัดพบปะกันระหว่าง “นายใหญ่ กับ ครูใหญ่” ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้จริงๆ
การพบปะระหว่าง “สองผู้นำจิตวิญญาณ” ทั้งสีแดง และสีน้ำเงินนั้น มีข่าวจากฝั่งสีแดงว่า บรรยากาศการพูดคุย ไม่ใช่การเจรจาตกลงกันแบบ “เกี้ยเซี้ย” เพราะฝั่ง “สีแดง” ยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่ฝ่าย “เสียเปรียบ” ในเกมนี้ แม้นายกฯแพทองธาร ชิตวัตร จะถูกฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงคนเดียวก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทยก็แก้เกมด้วยการ….
- บีบวันอภิปรายเหลือเพียง 1 วัน
- จัด “ทีมองครักษ์” ระดมประท้วง เพราะเงื่อนไขการอภิปรายไปต่อยาก จากการยื่นญัตติซักฟอกนายกฯเพียงแค่คนเดียว
- พรรคเพื่อไทยคาดโทษว่า หากพรรคไหนโหวตไม่ครบ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ จะเป็นสาเหตุในการปรับ ครม.ในส่วนของพรรคนั้น
- ฝั่งสีแดงไม่หยุดเดินเกม “ล้ม สว.” ผ่านคดี “โพยฮั้ว” ในมือดีเอสไอ โดยจะกดดันให้คณะกรรมการคดีพิเศษ รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ เพื่อกดดันค่ายสีน้ำเงินต่อไป
ชำแหละ “สว.3 วง” น้ำเงินเข้มโดนคดี - เปลี่ยนสีที่เหลือ
“อาจารย์จ๊ะ” ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย กล่าวกับ “เนชั่นทีวี” ว่า ทิศทางของคดี “โพยฮั้ว สว.” ชัดเจนว่า “นายใหญ่ไปสุดซอย” คือไม่หยุดกดดันค่ายสีน้ำเงิน เพราะเกมใหญ่ที่นำมาเล่นคือ ตัดกำลังและแขนขาของ “ค่ายสีน้ำเงิน” โดยเฉพาะ สว.กลุ่ม “น้ำเงินแท้” ซึ่งน่าจะมีคดีติดตัว เพื่อ “เชือดไก่ให้ลิงดู” พร้อมกดดัน สว.ที่เหลือ ให้เปลี่ยนโปรฯ ย้ายค่าย เปลี่ยนสีเสื้อจากน้ำเงินเป็นแดง
“เนชั่นทีวี” ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจาก “อาจารย์จ๊ะ” ได้ความว่า สว.สีน้ำเงิน จำนวน 140 ถึง 170+ นั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 3 วง ด้วยกัน กล่าวคือ
“วงใน” เรียกว่า “กลุ่มน้ำเงินแท้” รู้กันในวงการว่า “ก๊วนแจ๊ค” ส่วนจะเป็น “แจ๊ค แหม่ม คิงส์” หรือแจ๊คไหน คุณผู้ชมไปหาข้อมูลกันเอง
“ก๊วนแจ๊ค” เป็น สว.วงใน เป็นกลุ่มอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีหน้าที่ อำนาจ และบารมีในการบริหารจัดการเสียงในวุฒิสภาทั้งหมด และกำหนดตำแหน่งต่างๆ ในคณะกรรมาธิการ หรือ กมธ. โดยเฉพาะ กมธ.สามัญ กมธ.วิสามัญ
นอกจากนั้นยังรวมถึงกรรมการสโมสรของสภา คนทำงานวิปวุฒิสภา และงานตรวจสอบประวัติผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการองค์กรอิสระ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญมากๆ ที่ สว.กลุ่มนี้ยึดกุมไว้ทั้งหมด มีราวๆ 30 คน
“วงสอง” เป็นกลุ่มเครือข่ายบ้านใหญ่ “ค่ายสีน้ำเงิน” ในจังหวัดต่างๆ
และ “วงที่สาม” เป็น “กลุ่มนกแล” ได้แก่ พวกพลีชีพที่หลุดเข้ามา หรือกลุ่มที่ถูกวางตัวเป็นมดงาน คอยยกมือตามใบสั่ง
ข้อมูลที่ “เนชั่นทีวี” ตรวจสอบมานี้ บางส่วนตรงกับที่ อาจารย์ธนพร เคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ เอาไว้ พร้อมขยายความว่า กลุ่มเป้าหมายที่ค่ายสีแดงต้องการตัดอำนาจของ “ค่ายสีน้ำเงิน” ก็คือ
- ดำเนินคดีกับกลุ่มวงใน เพื่อนำคดีไปผูกขา หรือปักหลังเอาไว้ จะได้เคลื่อนไหวไม่สะดวก
- กดดันให้วง 2 กับวง 3 เปลี่ยนสีเสื้อจากน้ำเงินเป็นแดง โดยสร้างแรงบีบ แรงกดดัน ตลอดจนผลประโยชน์ โดยตั้งเป้ารวมๆ ไว้เกิน 100 คน
อาจารย์ธนพร บอกด้วยว่า ปฏิบัติการตัดกำลัง “ค่ายสีน้ำเงินฯ” ยังลามไปถึงข่าวการไม่ต่อสัญญา “โมโต จีพี” ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของบ้านใหญ่บุรีรัมย์ด้วย นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า “นายใหญ่ลุยไม่หยุด” และเปิดหน้างานไปพร้อมๆ กันหลายหน้า ไม่ใช่จัดการเฉพาะ สว.สีน้ำเงิน แค่ด้านเดียว
สว.ล้มไม่ได้! สูญอำนาจตั้ง 46 กก.องค์กรอิสระ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ปฏิบัติการ “ล้ม สว.สีน้ำเงิน” จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า “สว.” คือตัวแทนทางการเมืองของ “กลุ่มอนุรักษ์นิยม” และ “ฝ่ายจารีต” ที่ยังต้องการกำหนดทิศทางการเมืองไทยต่อไป
สว.ชุดนี้ มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระรวมทั้งสิ้น 46 คน ตลอดวาระของ สว.
ฉะนั้นโดยสถานะของ สว. จึงถือเป็น “ปราการด่านสุดท้าย” ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม หากไม่มี สว.ชุดนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นอย่างง่ายด่าย รวมถึงเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่ฝ่ายการเมืองต้องการผลักดัน ไม่ว่าจะจากค่ายสีแดง หรือสีส้ม ก็ตาม ที่สำคัญ “สีแดง” อาจหันไปจับมือกับ “สีส้ม” ได้ทุกเมื่อ หากไม่มี สว.เป็นเครือข่ายค้ำยันเอาไว้
สว.อลงกต วรกี : หมากเกมนี้ยังลูกผีลูกคน
ข้อสังเกตนี้สอดรับกับคำสัมภาษณ์ของ สว.อลงกต วรกี ซึ่งมีบทบาทสูงในวุฒิสภา และเป็นประธานคณะกรรมาธิการชุดสำคัญ คือ ประธานคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ ของวุฒิสภา
สว.อลงกต กล่าวกับ “เนชั่นทีวี” ว่า ทำไมจู่ๆ ดีเอสไอจึงเพิ่งมาสอบสวน “โพยฮั้ว สว.” ในตอนนี้ เป็นการเดินเกมหลังจาก สว.วอล์คเอาต์ ไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่
สว.อลงกต ชี้อีกว่า นอกเหนือจากประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ ยังมีเรื่องเกาะกูด และเอ็มโอยู 44 ซึ่งหากต้องมีการพิจารณา ต้องใช้การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เหตุนี้หรือเปล่าจึงต้องดิสเครดิต สว.
ส่วนบทบาทของดีเอสไอ ชัดเจนว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ดีเอสไอก่อตั้งยุคที่ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่ครั้งก็ตาม จนมีผลสำรวจของประชาชนที่ชี้ชัดว่าไม่อยากให้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ขณะที่ดีเอสไอยุคปัจจุบัน รัฐมนตรียุติธรรม กับอธิบดี ก็เป็นเกลอเก่า เป็น “ลูกพี่ - ลูกน้อง” กันมาก่อน
สว.อลงกต บอกด้วยว่า เรื่องนี้จะไม่จบง่ายเหมือนที่ฝ่ายการเมืองวางแผนไว้ เพราะแม้ ดีเอสไอ จะรับไว้เป็นคดีพิเศษ ก็จะเกิดคำถามตามมาว่า จะดำเนินคดี สว.ได้หรือไม่ อย่างไร จะส่งฟ้องเอง หรือต้องส่ง กกต. เพราะเป็นคดีเลือกตั้ง หรือต้องส่ง ป.ป.ช. หรือส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองกันแน่