
11 กุมภาพันธ์ 2568 "นายปกรณ์ นิลประพันธ์" เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ... หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตามกรอบเวลา 50 วัน ว่า น่าจะเสร็จสิ้นช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเราพยายามทำให้เร็ว ซึ่งในการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ก็จะอยู่ในกรอบ 50 วัน ที่กำหนดไว้
เมื่อถามว่า ตอนนี้เหลือขั้นตอนอะไรบ้าง นายปกรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้เราปรับร่างฯแล้ว ซึ่งเรียกว่าวาระที่ 2 โดยมีการปรับในรายละเอียด แต่รอบแรกพิจารณาในหลักการไปแล้ว ซึ่งตอนนี้มีการปรับร่างฯไปเยอะแล้ว และได้นำเข้าคณะกรรมการไปแล้ว โดยตอนนี้เห็นหน้าตาเป็นกรอบค่อนข้างชัดเจนแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว มีการปรับเปลี่ยนจากร่างเดิมมาก หรือไม่ นายปกรณ์กล่าวว่า "ก็เยอะอยู่"
ส่วนจะมีการปรับในสาระสำคัญหรือไม่ "นายปกรณ์" ระบุว่า สาระสำคัญยังคงเหมือนเดิม คล้ายๆเดิม
เมื่อถามว่า ในร่างฯที่ปรับใหม่ ได้มีการระบุชัดเจนว่า กาสิโนจะต้องมีกี่เปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่ "นายปกรณ์" ระบุว่า ในเบื้องต้นคิดว่าควรจะมีการกำหนดไว้ แต่ตัวเลขยังไม่นิ่ง แต่คิดว่าควรต้องกำหนด
ส่วนจะต้องนำต่างประเทศมาเปรียบเทียบหรือไม่ เช่นในประเทศสิงคโปร์ นายปกรณ์กล่าวว่า แล้วแต่นโยบาย เนื่องจากไม่เหมือนกัน ต้องอยู่ที่นโยบายว่าจะเอาเท่าไหร่
เมื่อถามต่อว่าสัดส่วนคาสิโนอยู่ระหว่างเท่าใด "นายปกรณ์" กล่าวว่า ก็ต้องไม่เกิน 10%
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าเป็นการเปิดช่องไว้ ให้สามารถลดสัดส่วน เป็น 5 หรือ 8% ได้ใช่หรือไม่ "นายปกรณ์" ระบุว่า ถูกครับ มันจะเป็นฟิลลิ่ง ถ้าจะน้อยกว่า 10 ก็แล้วแต่สถานการณ์ ที่เขาจะพิจารณา
นอกจากนี้ ยังตอบคำถามถึงเกณฑ์ที่จะใช้ในการปรับสัดส่วน โดยระบุว่า แล้วแต่คณะกรรมการนโยบายที่จะพิจารณา ซึ่งคิดว่าเขาคงจะต้องพิจารณาในแง่ของการลงทุนด้วย เพราะว่ามีการระบุไว้แล้วว่า การลงทุนต้อง100, 000 ล้าน และค่าใบอนุญาต อีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องแล้วแต่คณะกรรมการ ต้องดูแผนที่นักลงทุนเสนอเข้ามา
ส่วนก่อนที่จะนำร่างดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจะต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ "นายปกรณ์" กล่าวว่า ปกติเราทำเสร็จแล้ว เราก็เปิดเผยอยู่แล้ว ไม่ได้ปกปิดอะไร ซึ่งปกติกฤษฎีกาจะนำไปลงเว็บไซต์ระบบ กฎหมายกลางอยู่แล้ว
ทั้งนี้ หากประชาชนจะมีความคิดเห็นในเรื่องนี้จะสื่อไปถึงกฤษฎีกาเพื่อทบทวนร่างกฎหมายได้อย่างไร "นายปกรณ์" กล่าวว่า เรื่องนี้เราทำตามนโยบายของรัฐบาล ตนเป็นฝ่ายข้าราชการประจำ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องแล้วแต่ นโยบายรัฐบาล เพราะไม่เช่นนั้น เท่ากับฝ่ายข้าราชการประจำ ทำตัวเป็นฝ่ายบริหารเสียเอง ซึ่งมันจะผิดหลัก ส่วนที่พยายามเรียกร้องกันนั้นตนเข้าใจดี ถึงความ สนใจในเรื่องนี้ของทุกภาคส่วน รวมถึงความห่วงใยแต่ก็ต้องเข้าใจเรื่องระบบในการทำงานด้วยว่าฝ่ายข้าราชการประจำ จะไปทำตัวเป็นฝ่ายบริหารเสียเองมันไม่ถูกเรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องนโยบาย ก็อยู่ที่ทางรัฐบาลจะพิจารณา ไม่ใช่มากดดันที่กฤษฎีกา ว่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรขนาดนั้น
สำหรับข้อกังวลของนักวิชาการเนื่องจากร่างกฎหมาย มีการระบุว่าสำนักงานสามารถหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้ก่อนเหลือเท่าใดจึงค่อยนำส่งเป็นเงินแผ่นดิน "นายปกรณ์" กล่าวว่าด้วยหลักของกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง ภาษีต้องเข้ารัฐ
เมื่อถามว่า หมายความว่า สำนักงานเองสามารถหักค่าใช้จ่าย เหลือเท่าไหร่ค่อยนำส่งเป็นเงินแผ่นดินใช่หรือไม่ "นายปกรณ์" กล่าวว่า ต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียม และค่าบริการ ซึ่งเรื่องค่าธรรมเนียมหรือใบอนุญาตต่างๆ โดยหลักแล้วมันต้องเข้าหลวง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายการเงินการคลัง ส่วนมากจะหักไม่ได้เท่าไหร่ เอามาเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักงาน ซึ่งตรงนี้เป็นแนวปฏิบัติทั่วไปอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ต้องเป็นความตกลงของกระทรวงการคลัง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลระบุว่ากรอบระยะเวลา 50 วันของการร่างกฎหมาย จะครบกำหนดในวันที่ 6 มีนาคม 2568 นี้