4 กุมภาพันธ์ 2568 ปมร้อนการระงับการจ่ายไฟฟ้า บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กล่าวถึงความชัดเจนว่า การทำสัญญาการขายไฟฟ้าเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 และ 2537 โดยการทำสัญญาขายไฟฟ้าครั้งแรก ได้นำเข้าสู่ ครม. แต่ครั้งที่สองไม่ต้องนำเข้า ดังนั้นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. มีอำนาจ ตามระเบียบของ กฟภ.
นายภูมิธรรม ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านระเบียบของ กฟภ.ที่ระบุในเรื่องของการระงับการจ่ายไฟฟ้า หรือการยกเลิกการจำหน่ายไฟฟ้า กฟภ.สามารถดำเนินการได้เองตามสัญญา โดยไม่ต้องเสนอให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติ และไม่ต้องเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานเพื่อทราบ ซึ่งสัญญาที่ กฟภ.ได้ไปเซ็นไว้เป็นสัญญาการซื้อขายกับบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) ไปยังเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สหภาพเมียนมา และยังปรากฏในหนังสือกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 31 มกราคม 2568 ว่า ยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไปยังสหภาพเมียนมาอีก 4 ฉบับ รวมการซื้อขายไฟฟ้าทั้งหมดจำนวน 5 จุด
ซึ่งหากดูตามสัญญาที่มีอยู่ในข้อ 12.1 ผู้ซื้อยินยอม ปฏิบัติตามข้อกำหนด และระเบียบของ กฟภ. ที่เกี่ยวกับการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับประชาชน ทั้งที่บังคับใช้ในปัจจุบัน และในอนาคต เพราะฉะนั้นหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญา ในข้อที่ 13 หรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขในสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ผู้ซื้อจะยินยอมให้ กฟภ. งดจ่ายไฟฟ้า หรือบอกยกเลิกสัญญาได้ ซึ่งตรงนี้มีอำนาจที่จะดำเนินการได้
นอกจากนี้เท่าที่ดูในข้อ 51.1.1 กฟภ.สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ หากพิจารณาเห็นว่า การจ่ายไฟฟ้านั้นส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ ขนาดนี้ถือว่า มีปัญหาหรือยัง เพราะถ้าดูจากข้อมูลกรณีของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้ มีคนไทยถูกหลอกเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่า เป็นปัญหาของความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ ที่ครอบคลุมความมั่นคงในหลายมิติ รวมทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ดังนั้นหากพบข้อมูลว่า ผู้ซื้อไฟฟ้าจาก กฟภ. นำไฟฟ้าไปจำหน่ายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กฟภ. ก็ต้องใช้สิทธิตามสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายไฟฟ้าให้น้อยลง หรือระงับการจ่ายไฟฟ้าได้
“ผมไม่สบายใจที่มีการโยนกันไปโยนกันมา ที่บอกว่า หากไม่สั่งการมาก็จะดำเนินการไม่ได้ อันนี้ก็บอกไม่รู้ ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ทั้ง ๆ ที่พอจะมีข้อมูลสืบทราบว่า มีปัญหา โดยเมื่อวานนี้ตนก็สั่งให้ สมช.เรียก กฟภ. มาพูดคุย รวมไปถึงกระทรวงการต่างประเทศ, ตำรวจ และทหาร ที่ได้ข้อสรุปยืนยันว่า เรื่องนี้กระทบต่อความมั่นคง และ สมช. ก็กำลังทำหนังสือแจ้งไปที่ กฟภ."
นายภูมิธรรม ยังย้ำว่า เรื่องนี้มีปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคง และ สมช. ได้ชี้ข้อมูลแล้ว ซึ่งความเป็นจริงไม่ต้องรอให้ สมช.ชี้ข้อมูล เพราะ กฟภ. หากเห็นว่า มีผลกระทบ และตนก็ได้รับรายงานว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นผิดปกติ ซึ่งการพบข้อมูลที่มีความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ควรจะเข้าไปดำเนินการ ไม่ใช่จะสนใจที่จะขายไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นตนเองคิดว่า การค่อย ๆ ตัดไฟฟ้าอาจจะช้าเกินไป เพราะมีปัญหารุนแรงแล้ว
นายภูมิธรรม ระบุว่า วันนี้ตนจะสั่งการให้แจ้งกับ กฟภ. ให้ดำเนินการว่า เรื่องนี้รุนแรง ต้องไปดำเนินการเพื่อตัดไฟฟ้าทันที ไม่ใช่มารอโยกไปโยกมา เหมือนที่กำลังเกิดขึ้น ให้แจ้ง กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากผู้บังคับงานหน่วยไหน หรือส่วนไหน หากไม่ปฏิบัติให้เกิดผลโดยทันที ตนจะสั่งให้ยืมตัวมาช่วยราชการ
เรื่องนี้ไม่ต้องเข้าที่ประชุม ครม. หากยังดำเนินการล่าช้า และไม่เร่งปฏิบัติ จะยืมตัวมาช่วยราชการ จึงขอให้ไปพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไร และจะจัดการแค่ไหน เดี๋ยวรอคำสั่งออก ผมสามารถตัดเองได้ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ไม่ต้องรอให้ถึง ครม. ขอให้ดำเนินการทันที ให้เห็นผลเกิดเป็นรูปธรรม
ล่าสุด นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 5ประจำปี 2568 นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในการประชุม กรณีเรื่องของปัญหาที่มีอยู่ในเรื่องการตัดน้ำ หรือไฟ ไปยังประเทศเพื่อนบ้านของไทยนั้นว่า การกำกับเรื่องมาตรการการตัดน้ำตัดไฟในพื้นที่ชายแดนของ สมช. หากมีข้อมูลของการกระทำผิด ขอให้รองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย เรียกประชุมกับทาง สมช. เพื่อพิจารณาในมาตรการต่อไปอย่างชัดเจน โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ และความปลอดภัยของประชาชนคนไทย และประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ หากต้องตัดก็ให้ดำเนินการ