
ระบบการเมืองที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “หนึ่งประเทศ สองนายกฯ” หรือการมี “นายกฯเงา” หรือ “ผู้มีอำนาจเหนือนายกฯ” เป็นความผิดปกติแน่นอน ส่วนจะดีหรือไม่ดี เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันต่อ
เพราะมีนักวิชาการระดับ “ดอกเตอร์จบนอก” บางคน ก็มองบทบาทคุณทักษิณอย่างชื่นชม โดยเป็นนักวิชาการรุ่นใหม่ด้วย เนื่องจากเห็นว่าเป็นการนำประสบการณ์และศักยภาพที่เหนือกว่า มาขับเคลื่อนประเทศ และสะสางปัญหาที่ฝังรากลึก หรือซุกอยู่ใต้พรม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยคนกลุ่มนี้เชื่อว่า ระบบปกติ หรือการบริหารการเมืองแบบปกติ ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เลย
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อธิบายผ่าน “ทฤษฎีอำนาจ” ซึ่งมี 2 อย่าง
1.อำนาจทางการ คือ อำนาจทางกฎหมาย นายกฯแพทองธาร เป็นนายกฯที่มีอำนาจตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหาราชการแผ่นดินฯ รวมถึงกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องและให้อำนาจ
2.อำนาจไม่เป็นทางการ คือ คุณทักษิณ มีอำนาจอย่างไม่เป็นทางการ สังคมไทยเรียกว่า “ผู้มีบารมี”หรือ “ผู้มีอิทธิพล” คือ มีอำนาจอยู่จริง แต่ไม่ได้ระบุเอาไว้ในกฎหมาย ในรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราการแผ่นดิน
สถานการณ์ ณ เวลานี้ชัดเจนว่า อำนาจไม่เป็นทางการของ “อดีตนายกฯทักษิณ” มีอิทธิพลต่อ หรือ “เหนือ” รัฐบาล คณะรัฐมนตรี รวมไปถึงฝ่ายค้าน ภาคธุรกิจ และองค์กรอิสระทั้งปวง
คำถามคือ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ อาจารย์โอฬาร อธิบายว่า เป็นเพราะโครงสร้างทางการเมืองไทยเป็น “ระบบอำนาจนิยม”
กล่าวคือ มีกลุ่มคนบางกลุ่ม มีอำนาจสามารถคุมโครงสร้างทางการเมือง และกำหนดให้กลไกทางการเมือง รัฐบาล ฝ่ายค้าน องค์กรอิสระ ปฏิบัติหรืออยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ตนเองเป็นผู้กำหนดได้
โครงสร้างแบบนี้ เห็นได้ชัดจากกรณีคุณทักษิณ เพราะไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมาย แต่คุมเกมได้ ควบคุมกลไกที่เป็นทางการได้ทั้งหมด ทำให้กลไกที่เป็นทางการทำงานในแบบที่ตนเองต้องการ
ผลที่ตามมาคือ ระบบการเมืองการปกครองเสียหาย
หนึ่ง ถูกควบคุม ถูกจัดการ บงการโดยความไม่เป็นทางการ => ครม. รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ไม่ต่างจากข้าราชการประจำ นำนโยบาย ข้อความ หรือคำพูดของคุณทักษิณไปปฏิบัติ หรือไม่ก็เป็นผู้แก้ต่างให้คุณทักษิณ เท่ากับเป็นการด้อยค่า “ระบบที่เป็นทางการ”
สอง การเลือกตั้งไม่บรรลุเป้าหมาย => เพราะเวลาเราเลือกตั้ง เราคาดหวังต่อพรรคการเมืองที่เราเลือก ให้ไปทำงานแทนเราอย่างเต็มศักยภาพ ด้วยความรู้ความสามารถของคนที่เราเลือก แต่พอเลือกเข้าไปแล้ว คนเหล่านั้นกลับตกอยู่ภายใต้ผู้นำที่ไม่เป็นทางการ
แม้แต่ฝ่ายค้านเอง ประชาชนก็อยากให้ติดตามตรวจสอบรัฐบาล เพื่อทำให้ระบบการเมืองมีประสิทธิภาพ ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่แล้วฝ่ายค้านก็เกรงใจคุณทักษิณเสียอีก
สาม ระบบทางการ ทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายประจำ ได้บความเสยีหาย เป็นแค่ผู้สร้างความชอบธรรมให้ผู้มีอำนาจอย่างไม่เป็นทางการ
รัฐบาล และข้าราชการ เหมือนอยู่ในโรงละคร ต่างคนต่างถูกกำหนดให้แสดง โดยคนมีอำนาจตัวจริงในการกำหนดบทบาท คือ คุณทักษิณ
ถามว่าระบบแบบนี้ ในโลกนี้มีบ้างหรือไม่
อาจารย์โอฬาร ตอบว่า ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ กัมพูชา ฮุน มาเน็ต เป็นนายกฯ แต่คนคุมอำนาจตัวจริงคือ สมเด็จฮุนเซน ซึ่งวันนี้ไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมาย แต่คุมกลไกทั้งหมด ทั้งกองทัพ ฝ่ายการเมือง ฝ่ายค้าน และกลไกสถาบันหลักของชาติด้วย
มองกลับมาที่คุณทักษิณ วันนี้ไปไกลถึงขั้นคุมกลุ่มทุนธุรกิจด้วย เพราะมีอำนาจรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ แทนที่ต้องง้อกลุ่มทุน กลับกลายเป็นกลุ่มทุนวิ่งเข้าหา มองเห็นได้จากงานดินเนอร์ทอล์ค ดูตัวบุคคลที่รายล้อมคุณทักษิณได้เลย ล้วนเป็นกลุ่มทุนระดับประเทศแทบทั้งสิ้น
อาจารย์โอฬาร นิยามว่า สิ่งที่เกิดกับประเทศไทยตอนนี้ ไปไกลกว่า “ระบอบทักษิณ” ที่คุมกลไกราชการและการเมืองได้ทั้งหมดเหมือนในอดีต เพราะปัจจุบันแผ่ขยายอิทธิพลเป็น “ทักษิณาธิปไตย” หมายถึงระบอบทักษิณ + อำนาจอธิปไตยด้วย
นิยามนี้ เปรียบเทียบกับ “ประชาธิปไตย” คือ ประชาชนมีอำนาจสูงสุด และเลือกตัวแทนไปทำหน้าที่แทนประชาชน
แต่วันนี้ตัวแทนที่เรามอบอำนาจไปให้ กลับไปมอบอำนาจต่อให้คุณิทักษิณ กลายเป็น “ทักษิณาธิปไตย” เพราะมีอำนาจเหนือตัวแทนประชาชน เหนือกองทัพ เหนือกลุ่มทุน และสถาบันหลักแทบทั้่งหมด รวมถึงองค์กรอิสระ (เพราะองค์กรอิสระออกแบบให้มาจากอำนาจระบบตัวแทน คือสภา)
ผลของ “ทักษิณาธิปไตย”
ข้อดี - ทำให้รัฐบาลอยู่ได้ หรืออาจจะอยู่ยาว ทั้งๆ ที่มีความเปราะบาง
ข้อเสีย - แต่หลักการประชาธิปไตยมีปัญหาในระยะยาว
อาจารย์โอฬาร กล่าวว่า
ทราบว่ามีบางฝ่ายชื่นชมบทบาทแบบนี้ของคุณทักษิณ แต่เป็นเพราะยังไม่เข้าใจ เพราะไปมองแค่ศักยภาพส่วนตัว และความรูัความสามารถ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ต้องแยกออกจากหลักการของประชาธิปไตยแบบตัวแทน เนื่องจากปล่อยไว้แบบนี้ หลักการทั้งหมดจะเสียหาย ถึงขั้นพังทลาย
ต้องไม่ลืมว่า รากฐานของสถานการณ์นี้ มาจากโครงสร้าง “อำนาจนิยม” ของสังคมไทย เมื่อโครงสร้างครอบงำสังคมได้ ก็ทำให้กลไกกระบวนการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ กระบวนการยุติธรรม ไม่ทำงาน ฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่อย่างเต็มศักยภาพ
ข้าราขการมีหน้าที่แค่นำนโยบายของคุณทักษิณไปปฏิบัติ กลไกทางกฎหมายก็ตรวจสอบถ่วงดุลไม่ได้ กลายเป็นการผูกขาดอำนาจ และมีโอกาสทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง ไม่มีองค์กรไหนตรวจสอบได้ เพราะทุกองคาพยพเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ไม่ฟังก์ชั่นตามโครงสร้างที่วางไว้ แต่ไปอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว
ความน่ากลัวของ “ทักษิณาธิปไตย” คือ สะสมความไม่พอใจของประชาชน เพราะต้องอยู่ใต้อิทธิพลของคนคนเดียว แม้วันนี้ยังไม่เห็นภาพชัด แต่เพราะส่วนหนึ่งประชาชนยังไม่เข้าใจ และบางส่วนไม่มีทางออก นอกจากเมนต์ด่าตามโซเชียลฯ
แต่สุดท้ายเมื่อเงื่อนไขต่างๆ สุกงอม อาจปะทุกลายเป็นขบวนการประชาชนขนานใหญ่ โดยเฉพาะหากเกิดการคอร์รัปชั่นแล้วตรวจสอบไม่ได้ ฝ่ายค้านก็ง่อยเปลี้ย กลไกการเมือง ราชการก็ร่วมด้วย ประชาชนจะไม่มีทางออก และระเบิดเป็นการต่อต้านรุนแรงได้เหมือนกัน
อาจารย์โอฬาร ใช้คำว่า สังคมกำลัง “สะสมมวลความขัดแย้ง ไม่พอใจ สิ้นหวังต่อรัฐบาล สิ้นหวังฝ่ายค้าน กระบวนการยุติธรรม ระบบราชการ เพราะถูกครอบงำหมดทุกมิติ…ดีไม่ดีอาจสะสมความไม่พอใจเชิงโครงสร้าง เพราะรับรู้กันอยู่ว่า เกิดระบบนี้ได้ จากการพูดคุยตกลงกันในหมู่ชนชัันนำ จนคุณทักษิณมาแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชได้ขนาดนี้ ถ้าสุดท้ายควบคุมไม่อยู่ อาจพังทั้งโครงสร้าง”