
ต้องบอกว่าอิทธิพลของ คุณทักษิณ ที่มีต่อพรรคการเมืองในเครือข่ายของตน แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองตามกฎหมายจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมานานแล้วปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ คุณทักษิณ ถูกยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย.2549 แต่ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมยุติบทบาททางการเมือง แต่เคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศ และสนับสนุนให้พรรคการเมืองในเครือข่ายของตนให้เข้ามามีอำนาจรัฐต่อไป ทั้งพรรคพลังประชาชน - เพื่อไทย และรวมถึง พรรคไทยรักษาชาติ
โดยที่คุณทักษิณ ใช้อำนาจผ่านพรรคการเมืองเหล่านี้เมื่อได้เป็นรัฐบาล ซึ่งก็เป็นมาแล้วหลายครั้ง ทั้งพลังประชาชน และเพื่อไทย จนเกิดวลีที่นำไปใช้เป็นแคมเปญหาเสียงด้วยซ้ำว่า “ทักษิณคิด..เพื่อไทยทำ” การที่พรรคเพื่อไทยเคยมีแคมเปญหาเสียงแบบนี้ และเมื่อบริหารจริงก็ทำแบบที่หาเสียงด้วย แปลว่า
- พรรคเพื่อไทย หรือพรรคเครือข่ายชินวัตร ไม่ได้เหนียมอายว่าพวกตนมีผู้มีบารมีนอกกฎหมายเป็น “อำนาจแฝง” แต่มีอำนาจสั่งการจริง ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร
- ประชาชนก็ยังให้การตอบรับ เพราะพรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่าย ก็ชนะเลือกตั้งมาเกือบทุกครั้ง โดยเฉพาะภายใต้สโลแกนนี้ ก็เคยเอาชนะท่วมท้นถึงแลนด์สไลด์มาแล้ว
- ชื่อ “ทักษิณ” ยังขายได้ (จนถึงปัจจุบัน เพราะขณะนี้ก็ยังทำแบบเดิมอยู่)
- แม้ฝ่ายอำนาจเก่าที่เคยสลับเข้ามามีอำนาจผ่านการรัฐประหาร จะพยายามออกแบบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายพรรคการเมืองเพื่อสกัด โดยเฉพาะความผิดฐาน “ควบคุม ครอบงำ สั่งการ” แต่ดูเหมือน “นิติสงคราม” เรื่องนี้จะยังไร้ผล
สรุปประเด็นนี้นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นเริ่มจะหนักข้อขึ้นมากยิ่งขึ้น และเงื่อนไขกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มันแปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง นั่นก็คือ
1.ที่ผ่านมา แนวทาง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ยังเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะคุณทักษิณอยู่นอกประเทศ ไม่สามารถเคลื่อนไหวในประเทศได้ จึงได้แค่คิด ส่วนคนลงมือทำจริงๆ ยังเป็นพรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาลเพื่อไทย
2.รูปแบบ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ยังเป็นลักษณะ “กดรีโมทจากระยะไกล” (นอกประเทศ) จึงไม่ได้ปรากฏผลชัด 100% พูดง่ายๆ คือ ครอบงำไม่ได้เต็มร้อย โดยเฉพาะข้าราชการ และระบบราชการ ที่ครอบงำไม่ได้ทั้งหมด
3.ผู้นำแต่ละคน แม้แต่น้องสาว ยังมีความเป็นตัวของตัวเอง มีกลุ่ม มีพวกพ้องของตัวเอง บางเรื่องจึงแข็งข้อ แข็งเมือง แข็งขืน ได้เหมือนกัน
**ยิ่งนายกฯไม่ใช่คนในตระกูล เช่น คุณสมัคร สุนทรเวช ทำไปทำมา สั่งไม่ได้ จนต้องถือโอกาสไม่ต่อตั๋ว ต่ออายุ เมื่อคราวถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ จากกรณีรับจ้างทำกับข้าวออกทีวี ทั้งๆ ที่สามารถให้สภาที่พรรคตนคุมเสียงข้างมาก ตั้งกลับเข้ามาเป็นนายกฯใหม่ได้
4.รัฐบาลชินวัตร ไม่ว่าจะใช้ชื่อไหน โดนยึดอำนาจหลายครั้ง และถูกอำนาจอื่นเข้าแทรกแซง จนสูญเสียการควบคุม ครอบงำระบบราชการไป โดยเฉพาะยุค “บิ๋๊กตู่ - คสช.” นานที่สุดถึง 9 ปี ขณะที่คุณทักษิณเอง ไม่เคยมีอำนาจเหนือกองทัพได้เลย จึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด และกองทัพจึงถูกใช้เป็น “ไพ่ตาย” หยุดการใช้อำนาจของรัฐบาลชินวัตรได้หลายครั้ง
แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป...เพราะวันนี้...
1.คุณทักษิณ กลับมาอยู่เมืองไทย เคลื่อนไหวการเมืองเอง 100%
2.ประกาศตัวเป็น “สทร.” เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า พร้อมเข้าไปยุ่ง-สอดแทรก-สั่งการทุกเรื่อง โดยอ้างความหวังดี และการมีประสบการณ์ที่มากกว่า
3.รัฐบาลเพื่อไทยปัจจุบัน เป็นรัฐบาลของลูกสาวคนเล็ก ทั้งด้วยประสบการณ์ บารมี และความเป็นพ่อลูก ทำให้ครอบงำได้ในระดับ “ครอบครอง”
4.สำคัญที่สุด เป็นการกลับไทยท่ามกลางข่าว “ซูเปอร์ดีล” และคนไทยเกือบทั้งประเทศก็เชื่อว่า “มีดีล” เพราะคุณทักษิณได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าที่คนอื่นทุกคนเคยได้ ที่สำคัญตัวคุณทักษิณเองก็ยังแสดงออกว่า ได้รับ mandate หรือ “อาณัติ” ให้มาทำงานเพื่อประเทศ จึงย้อนไปข้อ 1 กับ 2 คือ เคลื่อนไหวการเมืองเต็มสูบ 100% และประกาศตัวเป็น “สทร.” ในทุกเรื่องราว
5.โครงสร้างของกองทัพเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกองทัพบกที่คุมกองกำลังหลักในการทำปฏิวัติ ปัจจุบันมี “ทหารคอแดง” และมีการโอนหน่วยคุมกำลังปฏิวัติเกือบทั้งหมด ไปเป็น “ส่วนราชการในพระองค์”
ณ เวลานี้ คุณทักษิณจึงเป็นเหมือน “ซูเปอร์นายกฯ” คือมีอำนาจเหนือนายกฯ อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ หรืออาจจะเรียกว่า “เป็นแล้ว เป็นอยู่ เป็นต่อ” ก็ได้