14 ธันวาคม 2567 เหตุการณ์ล่าสุดในเกาหลีใต้ที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งสำคัญ เพื่อเรียกร้องความโปร่งใส และต่อต้านการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงพลังของประชาชนและบทบาทของสมาชิกรัฐสภาในการปกป้องหลักการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทย ยังคงต้องต่อสู้เพื่อให้เกิดขึ้นในระบอบการเมืองของเราให้ได้
ทำไมประเทศไทยจึงยังคงมีเสถียรภาพทางการเมืองที่เปราะบาง?
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ไม่ใช่แค่เกาหลีใต้เท่านั้น แม้แต่อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ก็นับได้ว่ากำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในการพัฒนาประชาธิปไตย บทเรียนจากกรณีศึกษาในประเทศเหล่านี้อาจช่วยให้เราเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จและความล้มเหลวในการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนได้
การยึดมั่นในกฎกติกา: รากฐานสำคัญของประชาธิปไตย
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์สามารถตั้งมั่นได้คือ การยึดมั่นใน“กฎกติกาการแข่งขันแบบประชาธิปไตยร่วมกัน” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญในเกาหลีใต้ที่ใช้เวลาเพียงสามเดือน แต่กลับประสบความสำเร็จในการดึงฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเข้ามามีส่วนร่วม ในอินโดนีเซีย กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญใช้เวลานานถึงสี่ปี ภายใต้การเจรจาต่อรองและรอมชอมระหว่างชนชั้นนำขณะที่ในฟิลิปปินส์ รัฐธรรมนูญถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการกลับมาของเผด็จการอำนาจนิยม
ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญบ่อยครั้งแต่ยังขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากทุกภาคส่วน ส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องความชอบธรรมของกฎกติกาในระบบการเมือง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆและแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน ยิ่งทำให้การหากฎกติกาเดียวในระบบการเมืองไทยเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
การยึดมั่นในกฎกติกาไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การเขียนหรือบังคับใช้รัฐธรรมนูญ แต่ยังหมายถึงกระบวนการที่เปิดกว้างและยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ความสำเร็จของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญในเกาหลีใต้ เช่น การมีตัวแทนจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในอัตราส่วนที่เท่ากัน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบที่ยุติธรรม ในขณะที่ประเทศไทย กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญมักถูกครอบงำโดยกลุ่มอำนาจที่มีเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการยอมรับร่วมกัน
การควบคุมกองทัพโดยพลเรือน: กุญแจสำคัญของความมั่นคงทางประชาธิปไตย
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ตั้งมั่นได้คือ การสถาปนาการควบคุมกองทัพโดยพลเรือน ในเกาหลีใต้ รัฐบาลพลเรือนดำเนินการอย่างเด็ดขาด เช่น การล้างบางกลุ่มทหารการเมือง และการเพิ่มบทบาทของพลเรือนในกระทรวงการป้องกันประเทศ ขณะที่ในอินโดนีเซีย การลดบทบาทของกองทัพในทางการเมืองและเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับประเทศไทย กองทัพยังคงมีอิทธิพลในระดับสูงในทางการเมืองและนโยบายสาธารณะ การไม่มีหลักการควบคุมกองทัพโดยพลเรือนที่ชัดเจน ส่งผลให้ประชาธิปไตยในไทยยังคงมีความไม่มั่นคง และถูกตั้งข้อสังเกตว่าอยู่ภายใต้ระบอบ “เสนาธิปไตย” หรืออำนาจของกองทัพที่เหนือกว่ารัฐบาลพลเรือน
กรณีของฟิลิปปินส์ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการสถาปนาการควบคุมกองทัพโดยพลเรือนที่ดำเนินไปในสองระดับ ได้แก่การกำหนดหลักการควบคุมในรัฐธรรมนูญ เช่น การแยกอำนาจของกองทัพออกจากงานด้านความมั่นคงภายใน และการเพิ่มบทบาทของรัฐสภาในการตรวจสอบการดำเนินงานของกองทัพ อีกทั้งยังมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เช่น การยุติการดำเนินคดีกับทหารที่เคยพยายามรัฐประหาร เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดการแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพในอินโดนีเซีย
การลดบทบาทของกองทัพในทางเศรษฐกิจและการเมืองเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่สำเร็จได้ด้วยความพยายามในการปรับโครงสร้าง เช่น การลดสัดส่วนทหารในรัฐสภา และการถอนตัวจากธุรกิจที่กองทัพเคยครอบครองกระบวนการนี้ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการรอมชอมระหว่างชนชั้นนำและกองทัพ ในขณะที่เกาหลีใต้ ใช้แนวทางที่แตกต่าง โดยการจัดการอย่างเด็ดขาด เช่น การนำแกนนำของการปราบปรามประชาชนมาดำเนินคดี และการเพิ่มสัดส่วนของพลเรือนในกระทรวงกลาโหมเพื่อควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ
บทบาทของชนชั้นนำและมวลชนในกระบวนการประชาธิปไตย
ความสำเร็จของประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ส่วนหนึ่งมาจากบทบาทของชนชั้นนำที่ยอมรับกฎเกณฑ์ของประชาธิปไตยและไม่หันไปหาวิธีการนอกรัฐธรรมนูญ รวมถึงความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมที่สามารถกดดันชนชั้นนำให้ปฏิบัติตามแนวทางประชาธิปไตยได้อย่างต่อเนื่อง
ชนชั้นนำในเกาหลีใต้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย โดยเฉพาะในช่วงการปฏิรูปในปี 1987 ซึ่งชนชั้นนำที่มีอำนาจต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการเคลื่อนไหวของประชาชน และเลือกที่จะตอบสนองด้วยการปรับโครงสร้างทางการเมือง ในฟิลิปปินส์ ความร่วมมือระหว่างชนชั้นนำและมวลชน เช่น การสนับสนุนขบวนการพลังประชาชน (People Power Movement) ที่นำไปสู่การโค่นล้มเผด็จการมาร์กอส แสดงให้เห็นถึงพลังของการรวมตัวกันเพื่อประชาธิปไตย ส่วนในอินโดนีเซีย ชนชั้นนำทั้งในกองทัพและพลเรือนเลือกใช้แนวทางรอมชอมเพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยดำเนินไปอย่างราบรื่น
นอกจากชนชั้นนำแล้ว บทบาทของมวลชนยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในเกาหลีใต้ การประท้วงของประชาชนจำนวนมากในปี 2016 เพื่อเรียกร้องให้ถอดถอนประธานาธิบดีปัก กึน ฮเย แสดงให้เห็นถึงอำนาจของมวลชนในการปกป้องประชาธิปไตย สำหรับในฟิลิปปินส์ ขบวนการประชาชนที่โค่นล้มมาร์กอสไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองแต่ยังสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมที่ยั่งยืน ขณะที่ในอินโดนีเซีย ความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาสังคมและการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่นช่วยสร้างความสมดุลในกระบวนการเปลี่ยนผ่าน
ในกรณีของประเทศไทย บทบาทของมวลชนและชนชั้นนำยังคงต้องได้รับการเสริมสร้าง โดยเฉพาะการสร้างความไว้วางใจระหว่างกันและการลดความแตกแยกทางอุดมการณ์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้กระบวนการประชาธิปไตยดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ปัจจัยเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม
ปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของประชาธิปไตย งานวิจัยในต่างประเทศมักชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวสูงมักมีแนวโน้มที่จะรักษาระบอบประชาธิปไตยได้ดีกว่า ในกรณีของเกาหลีใต้ การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงหลังสงครามเกาหลีสร้างชนชั้นกลางที่เข้มแข็ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตย อินโดนีเซียเองแม้จะไม่ได้มีการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับสูงเท่าเกาหลีใต้ แต่การกระจายรายได้และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประชาชนในวงกว้างช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจในรัฐบาลประชาธิปไตย ในขณะที่ฟิลิปปินส์ เศรษฐกิจที่พึ่งพิงกลุ่มชนชั้นนำและตระกูลการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของประชาธิปไตยในประเทศ
ด้านวัฒนธรรม การสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและความพึงพอใจในระบอบดังกล่าวมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความสำเร็จของประชาธิปไตยในระยะยาว ในเกาหลีใต้ การเน้นย้ำคุณค่าของความโปร่งใสและความยุติธรรมผ่านการศึกษาและสื่อมวลชนช่วยสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชน อินโดนีเซียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา พบว่าความยืดหยุ่นในวัฒนธรรมการเมือง เช่น การยอมรับความแตกต่างทางความเชื่อ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย แม้ว่าผลสำรวจจะแสดงถึงระดับการสนับสนุนประชาธิปไตยที่สูงแต่ความแตกแยกทางการเมืองและความไม่ไว้วางใจในระบบการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ การสร้างวัฒนธรรมที่เคารพกติกาประชาธิปไตยและความเสมอภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับระบอบประชาธิปไตยในระยะยาว
บทเรียนจากกรณีศึกษาในภูมิภาคเอเชียชี้ให้เห็นว่า การสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคงต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นในกฎกติกาที่เป็นธรรม การควบคุมกองทัพโดยพลเรือน การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของทุกภาคส่วน และความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม สำหรับประเทศไทย ความท้าทายอยู่ที่การสร้างฉันทามติในระบบการเมือง การลดบทบาททางการเมืองของกองทัพ และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งชนชั้นนำและประชาชนในทุกระดับในระยะยาว การพัฒนาประชาธิปไตยในไทยอาจต้องพึ่งพาการศึกษาและการสร้างความเข้าใจในหลักการประชาธิปไตยให้กับประชาชน การส่งเสริมบทบาทของภาคประชาสังคม และการปฏิรูประบบการเมืองให้เปิดกว้างสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อให้ประชาธิปไตยในประเทศไทยสามารถตั้งมั่นได้อย่างยั่งยืน
***เนื้อหาของบทความนี้เป็นการสรุป เรียบเรียง และปรับปรุงเนื้อหาจาก รายงานเรื่อง “การสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับประชาธิปไตยในเอเชีย: บทสังเคราะห์และข้อสังเกต” ของสติธร ธนานิธิโชติ อรอนงค์ ทิพย์พิมล และนิธิเนื่องจำนงค์ ที่ได้นำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)