2 ตุลาคม 2567 ที่อาคารรัฐสภา "นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์" อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเดินทางมาสภาผู้แทนราษฎรเพื่อติดตามการเดินทางมาสภาของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า เมื่อวานการแถลงข่าวของนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ น่าจะเป็นการแก้เกี้ยว แก้ตัว ออกมารับสารภาพว่ากระทำผิดจริง มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ ไม่มีสาระ
เหมือนขนมจีนมีแต่เส้นไม่มีน้ำยา และเห็นความไม่พร้อมของการทำงานในพรรคพลังประชารัฐที่เนื้อหาการแถลงข่าว หาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคออกมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับพรรคไม่ได้ แต่กลับให้คนที่อยู่นอกสภามาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล แทนที่จะเป็นหน้าที่ของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้เห็นว่าวันนี้ พรรคพลังประชารัฐ ไม่เหลือ ส.ส. ที่จะทำหน้าที่ปกป้อง "พลเอกประวิตร" อีกต่อไปแล้ว
ทั้งนี้ นายไพบูลย์ ออกมาแถลงข่าว ยอมรับที่จะแนะนำให้พลเอกประวิตร เดินทางมาทำหน้าที่ในสภามากขึ้น เท่ากับนายไพบูลย์ ยอมรับว่าการประชุมสภาในทุกวันพุธและวันพฤหัส เป็นหน้าที่ของพลเอกประวิตร ซึ่งเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ต้องอุทิศตนอุทิศเวลาในการทำหน้าที่ สภาผู้แทนราษฎรมีการประชุมกัน 97 ครั้ง พลเอกประวิตร ขาดประชุมโดยใช้การลาน่าจะเป็นฉากบังหน้า เกือบ 90% ของวันที่มีการประชุมสภา โดยไม่สนกระแสสังคมที่ถามหาความรับผิดชอบ เมื่อพลเอกประวิตร ไม่มีความรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออกตามที่ตนร้องขอ แต่เลือกใช้วิธีการไม่รับเงินเดือน และแจ้งความประสงค์ขอคืนเงินเดือนแทนที่จะมาทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย
การเลือกที่จะคืนเงินเดือนหรือ การเลือกที่จะสละเงินเดือนภายหลังการขาดประชุม และภายหลังถูกร้องเรื่องจริยธรรมต่อสภาและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้ทำให้การกระทำซึ่งเป็นความผิดสำเร็จแล้ว กลายเป็นไม่มีความผิด น่าจะเป็นมุขทางกฎหมายตื้นๆ ที่นายไพบูลย์และทีมกฎหมายให้คำปรึกษาใช่หรือไม่ เหมือนแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ แต่งานนี้ตนมองว่า "พลเอกประวิตร" โดนฉมวกแน่ ถ้าเป็นตนให้คำแนะนำพลเอกประวิตร ตนจะบอกกับพลเอกประวิตร ว่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” จะมีศักดิ์ศรีและสง่างามสมชายชาติทหาร มากกว่าการเอาเงินมาคืนภายหลังความผิดสำเร็จแล้ว ลาออกเถอะครับ เพราะยังเหลือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง
แต่นายไพบูลย์ กลับสร้างธรรมเนียมที่น่าจะไร้จริยธรรมใหม่ โดยการเรียกร้องให้ ส.ส. ที่ลาประชุมบ่อยๆ ทำตามพลเอกประวิตร ยิ่งทำให้ตนแปลกใจใหญ่ว่า นายไพบูลย์ ในฐานะเลขาธิการพรรค เป็นผู้คุมข้อบังคับพรรค กลับไม่เรียกร้องให้ผู้แทนอุทิศเวลาทำหน้าที่ แต่กลับเรียกร้องให้นำกรณีพลเอกประวิตร เป็นตัวอย่าง ตนจึงไม่แปลกใจว่า ถึงคราวแล้วที่พลเอกประวิตร จะมีปัญหาหรือจบเกม เพราะคนใกล้ตัวที่แนะนำในเรื่องที่สภาแห่งนี้ไม่เคยมีใครมีความประพฤติเหมือนพลเอกประวิตร ถ้านายไพบูลย์ คิดได้แค่นี้ ตนขอเสนอให้พลเอกประวิตร ปลดนายไพบูลย์ ออกจากตำแหน่ง เพราะดูจากการแถลงข่าวแล้ว สอบตกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่กล่าวหาตนว่าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและรับงานแกนนำพรรคการเมืองมาร้องเรียนพลเอกประวิตร ทั้งที่ข้อเท็จจริงตนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด และไม่ได้รับงานแกนนำพรรคการเมืองใด หรือไปรับจ้างใครมาร้องเรียนพลเอกประวิตร ตนขอบอกเลยว่า ตนรับงานมาจากประชาชน เพราะประชาชนผู้เสียภาษีร้องเรียนมา ตนจึงต้องมาทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
เมื่อ "นายไพบูลย์" แจ้งให้ตรวจสอบพลเอกประวิตรอย่างเต็มที่ ตนก็จะยื่นตรวจสอบพลเอกประวิตร เพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้ ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ในการกระทำผิดกฎหมายและระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่างกรรมต่างวาระกัน โทษถึงจำคุกและปรับตัดสิทธิทางการเมือง ประพฤติผิดต่อจริยธรรม นอกเหนือจากที่ตนได้ยื่นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว พฤติการณ์แห่งความผิดเป็นลักษณะน่าจะเป็น นักบุญทุนชาวบ้าน ทัวร์อย่างหรู กินอยู่สบาย
สำหรับกรณีที่"พลตำรวจโทปิยะ" โฆษกพรรค และ"นายธีระชัย" ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็ดี หรือเรื่องกองทุนวายุภักษ์ก็ดี ตนขอแนะนำพลเอกประวิตร หัวหน้าพรรคให้จัด ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในสภา จะทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายค้านที่แท้จริง การให้นายธีระชัย ออกมาทำหน้าที่ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ดูเหมือนผิดฝาผิดตัว เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง และน่าจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้าน นายธีระชัย ไม่ใช่ ส.ส. ถ้าพรรคพลังประชารัฐมีความพร้อม ส.ส. ยังมีอยู่ในพรรคไม่ได้หนีพรรคไปไหน ก็ควรที่นายธีระชัย จะให้ข้อมูลกับ ส.ส. มาตั้งกระทู้ถามในสภา หรือจะให้พลเอกประวิตร ไปตั้งกระทู้เองในสภา จะกล้าไหม แสดงถึงวุฒิภาวะของคนเป็นผู้นำที่เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี การที่ทั้งโฆษกพรรคและนายธีระชัย ออกมาแถลงข่าวดังกล่าว จึงเป็นเรื่องน่าจะประจานว่า เวลานี้พรรคพลังประชารัฐไม่มี ส.ส. ที่จะทำหน้าที่เป็นปากเสียงหรือเป็นองครักษ์พิทักษ์ พลเอกประวิตร อีกต่อไปแล้ว
สุดท้ายนี้ ขอยืนยันว่าการตรวจสอบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นเรื่องดี ประชาชนได้ประโยชน์ แต่สำหรับตน “เรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” พลเอกประวิตร ขาดประชุมจริง อ้างติดภารกิจ ลาประชุมจริง จนกระทั่งวันนี้ออกมาสารภาพโดยการคืนเงินเดือน และสละเงินเดือนแล้ว แต่ยังไม่สำนึกที่จะอุทิศเวลาทำหน้าที่ วันที่ 3 ตุลาคมนี้ ก็ยังลาประชุมอีก ตนจึงไม่อาจที่จะหยุดการตรวจสอบการทำหน้าที่ของพลเอกประวิตร จนกว่าพลเอกประวิตร จะมีความรับผิดชอบทางการเมือง และในที่สุด"พลเอกประวิตร" ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอย่างแน่นอน