
จาก “สัญญาณวงใน” ที่ส่งผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.นั้น ค่อนข้างแรงชัดว่า มติ ก.พ.ค.ตร. น่าจะออกมา “เป็นลบ” กับ “บิ๊กโจ๊ก” กล่าวคือ “คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน” น่าจะชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก็สอดคล้องกับมติ ก.ตร. และอนุ ก.ตร.ด้านวินัยก่อนหน้านี้
แม้กระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมของ “บิ๊กโจ๊ก” จะยังไม่จบ เพราะสามารถไปยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุดได้อีก 1 ชั้น ขณะที่การนำชื่อ “บิ๊กโจ๊ก” ขึ้นกราบบังคมทูล ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ มาตรา 140 ก็ต้องรอลุ้นว่านายกฯเศรษฐาจะกล้าดำเนินการหรือไม่ โดยเฉพาะหากคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยยังไม่สรุปผล หรือมีข้อเสนอแนะให้ออกคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะถือว่ากระบวนการยังไม่ครบถ้วนตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีข้อสังเกตเอาไว้
แต่เรื่องที่จะส่งผลแน่ๆ ก็คือ การเป็น “แคนดิเดต” ขิงเก้าอี้ ผบ.ตร.ในปีนี้ ในฐานะ รองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ของ “บิ๊กโจ๊ก” เพราะโอกาสน่าจะเป็น 0 เนื่องจากเสียงในแวดวงตำรวจเอง ทั้ง อนุ ก.ตร. หรือ ก.ตร. และ ก.พ.ค.ตร. สอดคล้องกันหมดว่า “บิ๊กโจ๊ก” ถูกให้ออกจากราชการไปแล้ว และมีผลทันทีเมื่อสั่ง
เหตุนี้จะทำให้ “โมเมนตัม” การชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.เปลี่ยนดุลย์ไป เนื่องจากรอง ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสสูงสุด และยังอยู่ในราชการ กลายเป็น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. และอดีตรักษาราชการแทน ผบ.ตร. โดยยังมีอายุราชการเหลือ 2 ปี
ขณะที่ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ จะขยับมาเป็นอาวุโสอันดับ 1 และยังมีลุ้น เพราะยังเหลืออายุราชการอีก 1 ปี เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผบ.ตร.อีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีอายุราชการถึงปี 69 เช่นเดียวกับ “บิ๊กต่าย”
อีกคนที่ต้องบอกว่า “เคยมีหวัง” แม้จะน้อยมาก ก็คือ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราการแทนรอง ผบ.ตร. โดยหากจะผงาดขึ้นเป็น ผบ.ตร. ต้องฟาสต์แทร็ก ต่อลิฟต์ 2 ทอด คือขยับขึ้นรองผบ.ตร.ให้ได้ก่อน จึงจะมีลุ้นเป็น ผบ.ตร.
แต่เนื่องจาก “กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567” จะมีผลบังคับใช้ช่วงต้นเดือนตุลาคม ทำให้การแต่งตั้งวาระกลางปี หรือการแต่งตั้งนอกฤดู ไม่สามารถทำได้ ส่งผลให้ต้องรอวาระประจำปีวาระเดียว โอกาสของ “บิ๊กจวบ” จึงน่าจะถูกปิดไปแล้ว
ดังนั้นแคนดิเดตจจึงน่าจะเหลือเพียง 3 คน คือ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.ไกรบุญ และ พล.ต.อ.ธนา
แต่งานนี้ ถ้า “บิ๊กต่าย” คว้าเก้าอี้ ผบ.ตร.ไปครอง ก็เท่ากับว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ กับ พล.ต.อ.ธนา แทบจะหมดหวังไปเลย หากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะอายุราชการของ “บิ๊กต่าย” ยาวกว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ และเกษียณพร้อมกับ พล.ต.อ.ธนา
จับตา “บิ๊กสีกากีพลาดหวัง” ข้ามห้วยคุมหน่วยพลเรือน
ล่าสุดจึงมีข่าวว่า หลังได้ ผบ.ตร.คนใหม่เรียบร้อย หากไม่พลิกโผ จะมี “บิ๊กตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.หรือผู้ช่วย ผบ.ตร.” ที่พลาดหวังบางคน ย้ายข้ามห้วยไปรับตำแหน่งใส่สูท เป็นหัวหน้าหน่วยงานราชการพลเรือนแทน ส่วนจะเป็นใครต้องรอลุ้น
แต่คนที่ต้องการจะย้าย ไม่ใช่ “บิ๊กต่าย” แน่นอน เพราะช่วงที่มีสถานการณ์เรื่อง “บิ๊กโจ๊ก” มีลุ้นหวนคืนเก้าอี้รอง ผบ.ตร. ซึ่งจะกระทบกับ “บิ๊กต่าย” เข้าอย่างจัง ตอนนั้นมีข่าว “ผู้ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาล” เสนอตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ “บิ๊กต่าย” เพื่อปลอบใจหากต้องผิดหวัง ไม่ได้ขึ้น ผบ.ตร. แต่ “บิ๊กต่าย” ปฏิเสธอย่างสุภาพ โดยยืนยืนว่ารักอาชีพตำรวจ และขอเกษียณในเครื่องแบบตำรวจ แม้จะไม่ได้เป็น ผบ.ตร.ก็ไม่เป็นไร
“ชีวิตผม มาถึงขนาดนี้ เป็น พลตำรวจเอก ก็ไกลเกินฝันแล้ว ชีวิตไม่เคยฝันเป็น ผบ.ตร.เลย” นี่คือข้อความที่ “บิ๊กต่าย” ตอบกับผู้ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาลท่านนั้น
เหตุนี้ ถ้าจะมีนายตำรวจระดับรอง หรือผู้ช่วย ผบ.ตร. ข้ามห้วยไปใส่สูท คุมหน่วยงานราชการพลเรือน ย่อมไม่ใช่ “บิ๊กต่าย” แน่นอน ส่วนจะเป็นใครต้องรอลุ้นกันอีกที