svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"จักรภพ" ยันไร้ดีลกลับไทยรับปรึกษา "ทักษิณ" ก่อนตัดสินใจ

28 มีนาคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"จักรภพ เพ็ญแข" เผย15 ปีทำให้คิดได้เยอะ รับเสียดายเวลารับใช้บ้านเมือง ปัดมีดีลแลกกลับไทย แต่มีปรึกษา "ทักษิณ" ยันบรรยากาศประเทศเปลี่ยนไปในทิศทางดีขึ้น ลั่นอาสาช่วยงานการเมือง พร้อมขอเป็นตัวกลางช่วยผู้ลี้ภัยสู้คดี ยกเว้น "ยิ่งลักษณ์ "เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินตัว

28 มีนาคม 2567 คงต้องจับตาบรรยากาศการเมืองต่อจากนี้ว่าจะมีอะไรให้ได้เห็นกันอีก หลังจาก "นายจักรภพ เพ็ญแข" อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาล "นายสมัคร สุนทรเวช" ได้ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย หลังต้องลี้ภัยอยู่ต่างแดนนานถึง 15 ปี

โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวมายังกองบังคับการกองปราบปราม ก่อนจะได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งกำหนดหลักทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาทต่อคดี โดยไม่มีเงื่อนไข และจะต้องมารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนครั้งต่อไป ในวันที่ 22 และวันที่ 23 เม.ย.นี้ 

15 ปีทำให้ตกผลึกเสียดายเวลารับใช้ชาติ 

ทั้งนี้ ภายหลังที่นายจักรภพ ได้รับการประกันตัว ได้ลงมาทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณโถงชั้นล่าง ที่กองบังคับการปราบปราม พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยระบุว่า ตนเองได้ออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2552 เป็นเวลา 15 ปี จึงตัดสินใจกลับมาสู้คดีที่ยังเหลืออีก 2 คดี และเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน

ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชมที่พนักงานสอบสวนได้มีการอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งทำให้มั่นใจว่าจะสามารถสู้คดีได้อย่างมั่นใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

 

"เวลา 15 ปีที่ผ่านมา ผมเองคิดถึงเมืองไทยทุกวัน พ่อแม่ก็เสียชีวิตระหว่างที่ผมหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ที่ระหกระเหินลี้ภัยไปอยู่ 5 ประเทศ เป็นประเทศที่เข้าใจ และเห็นใจในการต่อสู้ของผม แต่ก็อยู่อย่างมีมารยาทไม่ให้ประเทศนั้นอึดอัด หรือได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง แต่ก็ติดตามข่าวสารประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา ลำบากกายไม่เท่าไหร่ แต่มีความลำบากใจมากกว่า เวลาผ่านไปทำให้ผมคิดอะไรได้เยอะ รู้สึกเสียดายเวลาที่จะรับใช้ประเทศชาติ" นายจักรภพ กล่าว 

 

อาสาช่วยงานการเมืองหลังเพื่อไทยเป็นรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปตั้งใจว่าจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ รับใช้ประเทศไทย ไม่ว่าเป็นบทบาทใดก็ตาม จะไม่สร้างความวุ่นวายอะไรอีก การทำการเมืองก็เป็นวิถีทางหนึ่ง ที่ตนเองสามารถช่วยทำประโยชน์ได้ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปมาก การเมืองภาพใหญ่ในระบอบประชาธิปไตยเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนรัฐบาล ทำให้เพิ่มความมั่นใจว่าบรรยากาศต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น

ปัดมีดีลแลกกลับบ้านยอมรับมีปรึกษา "ทักษิณ"

ส่วนเรื่องกระแสข่าวที่มีการดีลกันจึงทำให้ได้กลับประเทศไทยนั้น ยอมรับว่ามีการพูดคุย แต่ไม่ได้เป็นการเจรจาเพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง มีการพูดคุยว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะหาจุดร่วมเพื่อทำอะไรให้ดีขึ้น และยอมรับว่าก่อนตัดสินใจกลับได้มีการพูดคุยกับ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ แต่ไม่ถึงขั้นปรึกษา ซึ่งนายทักษิณได้บอกกับตนว่า อะไรหลายหลายอย่างในประเทศไทย เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น

เป็นตัวกลางช่วยคนลี้ภัยสู้คดีแต่ "ยิ่งลักษณ์" ขอเว้น

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ตนเองอยากทำ คือ เสนอตัวกลางช่วยเหลือบุคคลที่ลี้ภัยทางการเมือง โดยดูจากความยากง่ายของคดี ช่วยเหลือผู้ที่มีคดีง่ายก่อน ส่วนกรณีของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกฯ นั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ไปสำหรับตนเอง

 

"สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือ ไปกราบร่างคุณแม่ที่ยังไม่ได้ฌาปนกิจ ซึ่งเก็บร่างไว้ที่ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน และไปกราบคุณพ่อที่ฌาปนกิจไปแล้วที่บ้านน้องสาว จากนั้นจะไปสักการะศาลหลักเมืองต่อ" นายจักรภพ ระบุ

"ปานปรีย์" เผยไร้การประสาน กต. ขอกลับไทย 

ขณะที่ "นายปานปรีย์ พหิทธานุกร" รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า นายจักรภพ ไม่ได้ประสานมาทางกระทรวงการต่างประเทศ  เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งปกติถ้ามีบุคคลที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นกังวล ก็จะหารือมาที่กระทรวงต่างประเทศ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง 

ส่วเรื่องผู้ลี้ภัยในต่างประเทศหากต้องการกลับสามารถประสานมาที่ กต.ได้แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครประสานมา ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายความมั่นคง และทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มากกว่า

 

"เรายังไม่ได้รับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น และยังไม่ได้รับรายงานด้วย หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ ที่เราจะต้องสื่อสารกับทางต่างประเทศ คงจะต้องใช้ กต.ในการสื่อสารต่อไป" นายปานปรีย์ ระบุ 


ไม่ได้ตามความเคลื่อนไหวผู้ลี้ภัยต่างแดน

เมื่อถามว่า ปกติคนที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ  ทาง กต.จะต้องติดตามพฤติกรรมหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ถ้าไม่มีปัญหา หรือไม่มีประเด็นอะไร ก็ไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพียงแต่รับรู้ เพราะมีสถานทูตอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว ไม่ได้ไปติดตามความเคลื่อนไหว เพราะก็อยู่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศนั้นๆ อยู่แล้ว 

 

logoline