21 มีนาคม 2567 เมื่อเวลา 07.45 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นประธานในการมอบนโยบายให้กับตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาจากทั่วประเทศ โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับ
สำหรับการประชุมในวันนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. คนที่ 14 และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ไปปฏิบัติหน้าที่ในสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รักษาราชการแทน
ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ว่า พวกเราทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบของทหาร หรือหน่วยชายแดน ส่วนเรื่องการปราบปรามหนี้นอกระบบ ขณะนี้ยังพบว่ามีการปล่อยให้มีการกู้ยืมเงินที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน
เรื่องนี้ที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล แต่ยังไม่เห็นว่าถูกบริหารจัดการได้ดีพอ การเข้าสู่ขั้นตอนประนอมหนี้ เจ้าหนี้ลูกหนี้ยังเข้าร่วมน้อย และประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องผู้มีอิทธิพล ทำให้ประชาชนไม่อยากเข้าสู่ขั้นตอนการประนีประนอมหนี้ ฉะนั้นขอให้กำชับผู้บังคับการจังหวัดทุกคนให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้สำเร็จ ต้องประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงอื่นๆ ด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การปราบปรามสินค้าเถื่อน หนีภาษี การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายจากชายแดน รัฐบาลให้ความสำคัญมากกับเรื่องนี้ ฉะนั้นขอให้ทุกท่านพิจารณาเรื่องราคายางที่ปรับดีขึ้นมาได้ เป็นตัวอย่าง เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดการบูรณาการร่วมกันของหลายหน่วยงาน รวมถึงการปราบปรามบ่อนการพนัน ขอให้เจ้าหน้าที่ยึดตามกฎหมายเป็นหลัก บ่อนพนันอย่าให้มีเกิดขึ้น การปราบปรามในส่วนพนันออนไลน์เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนให้ความสำคัญมาก ใครที่ดูแลเรื่องนี้ขอให้เคร่งครัด
เรื่องอาวุธเถื่อน อาวุธสงคราม อาวุธปืน เป็นเรื่องที่ต้องมีการจัดการอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับเรื่องเผาป่า การควบคุมค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคงอย่าง
ตำรวจจะต้องช่วยกันทำงานร่วมกันบูรณาการทุกภาคส่วน จากที่ผ่านมาผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้ทำไปแล้วคือเริ่มจับกุมคนเผาป่าและมีรางวัลให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ตนเชื่อว่าพวกท่านมีอำนาจน่าจะออกกฎเฉพาะกิจในพื้นที่นั้นๆ ไม่ให้เกิดการเผาป่าได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายท่องเที่ยว การดูแลนักท่องเที่ยว ต้องเน้นย้ำเพราะโยบายของรัฐบาลผลักดันให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว เรื่องของการคัดกรองบุคคล เรื่องต่างๆ เหล่านี้ตนถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ รวมไปถึงผู้นำท่องเที่ยว หรือไกด์ การทำธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ทุกท่านที่อยู่ในพื้นที่รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นอะไร ใครทำอะไรอยู่
เพราะฉะนั้นขอให้มีการกำชับการทำงานอย่างเร่งด่วน แต่ขอให้อย่าละเลยเรื่องการดูแลสวัสดิการของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ตนขอคำตอบไป ว่าจะจัดการอย่างไรเรื่องนี้ ขอให้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดินหน้าโดยเร็ว
และประเด็นสุดท้าย ขอให้พวกเรากันเอง มีความสามัคคี ทุกคนก็เป็นคน มีการรักชอบใคร วันนี้ผมเชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าใจถึงปัญหาเรื่องนี้กันดีที่มันเกิดขึ้น เรื่องการสามัคคีเลือกข้างใครเป็นลูกน้องใคร ตนเชื่อว่าเราเก็บความรักไว้ในใจตัวเองดีกว่า วันนี้ให้เอาประชาชนเป็นที่ตั้งดูแลพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด
"ส่วนเรื่องคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เมื่อวานนี้ขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรามีคณะกรรมการแล้ว 3 ท่าน หลังจากที่มีผลสรุปแล้ว ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ เพราะตัวของผมเองก็ยืนยันไม่ได้ฝักใฝ่ข้างใด เราอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ถ้าเราอยู่ตรงนี้ได้เราก็ดูแลพี่น้องต่อไปได้ องค์กรตำรวจแห่งชาติก็ได้ทำงานได้อย่างสมศักดิ์ศรี" นายเศรษฐา กล่าว
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่า ในทุกหัวข้อที่เข้าประชุมตนได้เน้นย้ำทุกเรื่องให้ความสำคัญเท่ากัน เพราะประชาชนได้รับปัญหา ตนได้ย้ำว่าเรามาอยู่ตรงนี้ เรามาอยู่เพื่อพี่น้องประชาชนเรื่องที่จะไปก้าวก่ายใคร ไม่อยากให้มีเกิดขึ้นอีกแล้ว เราไม่ได้มีหน้าที่ให้ข่าวเพื่อสนับสนุนคนใดคนหนึ่งเรามีหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน ทุกอย่างเรายึดตามกระบวนการยุติธรรมกระบวนการกฎหมาย ขอยืนยันว่าขณะนี้ทั้ง 2 ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ในขั้นตอนมีกรอบระยะเวลาตรวจสอบ ซึ่งตนก็มองว่าต้องเกิดขึ้นและสิ้นสุดให้เร็วที่สุด
ถามว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมใต้น้ำหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่าไม่ทราบ ต่อข้อซักถามว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถาม และกล่าวต่อว่า ตนมีหน้าที่รับปัญหามาก็ต้องบริหารจัดการกันไป ตนว่าวันนี้เรื่องนี้เราจบกันได้ และเราเดินหน้าดีกว่า ดูแลปัญหาเรื่องยาเสพติด เรื่องพนันออนไลน์
ทั้ง 2 ท่านที่มีปัญหาก็ไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ขออย่าไปกดดัน อย่าชี้นำ ให้ปล่อยเวลากระบวนการยุติธรรมทำงาน ตัวท่านผู้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็มีหน้าที่ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน ฉะนั้นเราต้องกลับมาดูว่ายืนอยู่ตรงนี้เรายืนอยู่เพื่อใคร เรื่องดราม่าต่างๆ จบไปแล้ว น่าจะปราศจากการแทรกแซง ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะถ้าเรามัวแต่ยุ่งแต่เรื่องนี้ประชาชนก็จะเดือดร้อน ทุกท่านจะไม่โฟกัสเรื่องการทำงาน ตนได้พูดคุยกับผู้รักษาการแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง นโยบายที่รับมอบหมายนี้ให้ลงแต่ละหน่วยงาน
ถามว่าการลงนามโยกย้าย 2 นายพลเป็นเรื่องลำบากใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากใจ ไม่สบายใจ แต่จำเป็นต้องทำเพื่อจะให้เกิดความกระจ่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อสังคม ขณะนี้ยังไม่มีการแบ่งงาน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตนมีภารกิจจำนวนมาก แต่คาดว่าวันนี้จะได้มีการพูดคุยกัน
ถามว่าเหตุการณ์การตรวจสอบที่เกิดขึ้นในอดีตเคยมีการใช้คณะกรรมการจากภายนอกตั้งขึ้นมาสอบสวนแต่สุดท้ายเรื่องก็ยืดเยื้อและต้องกลับมาใช้คำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คาดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำถามถูกต้องแล้ว เรื่องนั้นเป็นอดีต แต่ตอนนี้เป็นปัจจุบัน ผู้นำคนละคนกัน
"บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก" เข้ารายงานตัวสำนักนายกฯ
เมื่อเวลา 09.40 น. พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือ "บิ๊กต่อ" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เดินทางเข้ามาที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานตัวกับ นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้ทางเข้าอีกอาคาร และเดินขึ้นบันไดชั้น 2 มาที่หน้าห้องปลัด โดยไม่ผ่านด้านหน้าที่มีสื่อมวลชนรออยู่ ยังให้ส่วนล่วงหน้ามาดู และขับรถเพื่อดึงดูดความสนใจ และยังทำ Mini Heart ให้นักข่าวด้วย
ขณะที่ "บิ๊กโจ๊ก" พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ก็เดินทางมาที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในเวลา 09.55 เพื่อรายงานตัวเช่น ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อน เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า มีความคุ้นชิน รู้ห้องหมดเพราะกลับบ้านเก่า เพราะเคยมาอยู่นี่แล้ว 2 ปี ยืนยันไม่กดดัน ที่ต้องกลับมาที่นี่ มีงานอะไรเราก็ทำ คาดว่าทางสำนักนายกฯ เตรียมงานไว้ให้แล้ว เมื่อคืนตนก็นอนหลับสบายดี
บิ๊กโจ๊ก บอกด้วยว่า เมื่อเช้านี้ได้ต่อสายนัดหมายกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เพื่อมารายงานตัวเวลา 09:30 น. ไม่ได้มีการแนะนำอะไรเป็นการส่วนตัว เพียงบอกว่าจะทำงานห้องไหนอย่างไร ส่วนที่ถูกโยกเข้ามาพร้อมกับ ผบ.ตร.นั้น ก็ไม่มีอะไร
พร้อมทำงานตามที่นายกฯ มอบหมาย
การเรียกตัวเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้วจะมีครั้งต่อไปอีกหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ ระบุว่า แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะมอบหมายให้ไปทำงานที่ไหนก็ต้องทำ แต่ต้องมีวินัย ขณะที่งานที่รับผิดชอบอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ห่วง มั่นใจว่ารักษาราชการ ผบ.ตร. จะสามารถสานต่อและกำชับมอบหมายงานให้งานให้บุคคลอื่นทำต่อไป
ส่วน บก.น.2 เรียกตัวให้ไป รับทราบข้อกล่าวหาครั้งที่หนึ่ง ในคดีสมคบฟอกเงินนั้น ยืนยันว่า ตนยังไม่ได้รับหมายดังกล่าว รวมถึงคดีอื่นๆที่ยังค้างอยู่ 3 คดี
พล.ต.อ.สุรเชษฐ บอกว่า จะพูดคุยกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก่อน แต่ยืนยันว่าจะมีการถอนฟ้องทั้งหมด พร้อมย้ำว่าความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลังจากนี้ต้องยุติแล้ว ไม่มีใครขัดแย้งกับใคร
อย่างไรก็ตามเป็นที่สังเกตว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ มีสีหน้าค่อนข้างแจ่มใส แต่ตาทั้งสองข้างแดงบวมไม่เท่ากัน
เปิดใจ เคลียร์ความขัดแย้ง หลังรายงานตัว
ภายหลังการรายงานตัวนานกว่า 50 นาที พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ และ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ได้เดินออกมาพร้อมกัน โดย "บิ๊กต่อ" ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ได้รับมอบหมายให้ดูงานจิตอาสา ตนทำอยู่แล้วในการให้คำปรึกษาเรื่องการดูแลชุมนุมต่างๆ เนื่องจากเราก็เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมา ซึ่งตนจะเดินทางเข้ามาทำงานทุกวัน แต่ยังคงต้องเข้าเวรราชองครักษ์อยู่
ส่วนที่นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบาย ไม่ให้มีแบ่งฝ่ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าเราออกมาแล้ว ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดีขึ้น มันไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เราอยู่กันแบบพี่น้อง ตนพยายามสร้างตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปรับตำแหน่งว่า เราจะทำบ้านให้เปลี่ยนแปลง แต่มันออกมาในลักษณะนี้ นายกฯจึงต้องเข้าไปจัดระเบียบ และตนเชื่อว่าในการบริหารราชการแผ่นดิน ท่านทำหน้าที่บริหารได้อย่างถูกต้อง ตนรับและยินดีอยู่แล้ว ไม่ได้คิดหรือกังวลอะไร อยู่ที่นี่ก็ดี เรื่องรับงานเอกสารตนก็ทำอยู่แล้ว ขออย่าห่วงว่าจะเครียดหรืออะไร
ส่วนที่นายกฯกล่าวว่า ให้เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ตำรวจเอกต่อศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อตนลุกมาแล้ว เรื่องของรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อถามว่า หนังสือย้ายเมื่อวานนี้ ใช้คำค่อนข้างรุนแรง พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ กล่าวว่า ตนยอมรับ ตนเป็นหัวหน้าหน่วย ทำให้องค์กรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่ได้ มันเป็นความบกพร่อง เมื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ต้องกำกับดูแลในส่วนนี้ ตนยอมรับสภาพ ตนรู้ ตนก็คาใจอยู่ ยังบอกกับ บิ๊กโจ๊ก ว่า เราไม่ได้นั่งคุยกัน ตนพยายามทำสภากาแฟ ให้พี่น้องได้มาคุยกัน เป็นพี่เป็นน้อง ไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่หัวหน้า ซึ่งก็โอเคในระดับหนึ่ง
เมื่อถามว่าจำเป็นจะต้องมีการทำเอกสารชี้แจงคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาสอบเรื่องนี้หรือไม่ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ กล่าวว่า ถ้ามีการเรียกก็พร้อมที่จะยื่นเอกสาร ยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกน้อยใจ แม้อายุราชการจะเหลือน้อยก็ตาม แต่จะช้าหรือเร็ว อย่างไรก็ต้องลุก เป็นอะไรงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา
"วันนี้พี่ถอดหัวโขน อยู่แค่ตำแหน่ง ผบ.ตร. หัวโขนในการปฏิบัติหน้าที่ เราก็ถอดออก พี่มานั่งที่นี่ก็ใส่หัวโขนที่นี่ โรงละครของเราเลิกแล้วก็เก็บฉาก เก็บเครื่องแต่งตัว ปิดไฟ หอบเสื่อกลับบ้านเรา ก็เท่านั่น ชีวิตเรามีเท่านี้ คุณจะมาเครียดอะไร มาเร็วก็ต้องจากกัน ผมไม่เครียดหรอก ยืนยันไม่ช็อคเพราะรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว รู้ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเรียกเข้าพบด้วย รู้ส่วนตัวอยู่แล้ว"
เมื่อถามย้ำว่าที่โดนเด้งครั้งนี้ เป็นเพราะเราจัดการเรื่องในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้ใช่หรือไม่ ตำรวจเอกต่อศักดิ์ กล่าวว่า "ใช่" พร้อมยกนิ้วโป้งขึ้น
ขณะที่ "บิ๊กโจ๊ก" ให้สัมภาษณ์ เพิ่มเติมภายหลังเดินลงจากตึกสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงกระแสข่าวที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องถึงออกมาเป็นเช่นนี้ ว่า ไม่เกี่ยว ส่วนการไปตอนนั้นเพื่อไปทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยขบวนสำคัญ เพราะเขาเป็นอดีตนายกฯ
พร้อมย้ำว่าไม่มีเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้น แต่เรื่องนี้เป็นการแก้ไขของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความสามัคคีในหน่วย
เมื่อถามย้ำว่า ถูกมองว่าเป็น สายบ้านจันทร์ส่องหล้า ไปแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่ายหัวพร้อมระบุว่า ไม่มีสายไหน มีแต่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเมื่อตอนนี้ให้มาทำหน้าที่นี้ก็ต้องมาทำ
ส่วนได้อ่านคำสั่งย้ายที่ออกมาหรือยัง เพราะทาง ผบ.ตร. ก็ยอมรับว่าจากคำสั่งดังกล่าวก็เหมือนมีความขัดแย้งจริง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า นายกรัฐมนตรีต้องการที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่าง เพื่อให้เกิดความสามัคคีในหน่วยงาน เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ เพื่อประชาชนและเพื่อส่วนรวม เรื่องส่วนตัวต้องทิ้งไปให้หมด
อย่างไรก็ตาม วันนี้ก็ยังไม่มีการพบนายกฯ รวมถึงเลขาธิการนายกฯ ซึ่งวันนี้มารายงานตัวกับปลัดสำนักนายกฯก็ถือว่าเรียบร้อยแล้ว และเดี๋ยวจะไปดูห้องทำงาน พร้อมยืนยันว่า จะมาทำงานทุกวันไม่มาไม่ได้ ตนได้รับมอบหมายให้ดูงานด้านที่ปรึกษากฎหมาย พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารต่างๆ และการกระจายอำนาจ ซึ่งเชื่อว่าจะทำหน้าที่ได้ดี
สำหรับความขัดแย้งครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดเลยหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้ำว่า จบทุกอย่างก็ต้องจบ เพราะเมื่อวานก็คุยกันแล้ว ทุกอย่างต้องเรียบร้อย ซึ่งองค์กรต้องอยู่และต้องแข็งแรงเพื่อทำงานให้ประชาชนโดยไม่มีการแบ่งฝ่าย ก่อนย้ำว่าจะไม่มีความขัดแย้งอะไรทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า คนมอง “บิ๊กโจ๊ก” มีชีวิตที่ 10 - 11 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยิ้ม พร้อมบอกว่าไม่มีอะไรหรอก วันนี้ก็ทำหน้าที่ปรกติ เขามีโอกาสให้ทำงานก็ต้องทำงาน ส่วนรอบนี้จะเนเวอร์ดายหรือไม่ ตนไม่รู้ เพราะก็ทำหน้าที่ไปตามปกติตามที่ได้รับมอบหมาย
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เมื่อมีปัญหาทุกครั้งก็กลับมาได้ตลอดนั้นได้มูเตลูอะไรหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ไม่ได้มู ก็ทำหน้าที่ให้ดี เพราะการทำหน้าที่ต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น มั่นใจศรัทธาและคลายความทุกข์ให้ได้ ซึ่งนี่คือหน้าที่ของข้าราชการแผ่นดินอยู่แล้ว ส่วนเรื่องคดีความยังไม่ได้นัดคุยกับ ผบ.ตร. โดยจะมีการนัดคุยอีกทีนึง
เมื่อถามว่า ทำไมยังยิ้มได้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยิ้มเขิน ก่อนระบุว่า ตนอารมณ์ดี นี่ก็กลับบ้านไง โดยตนไม่รู้มาก่อนและรู้พร้อมกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้ว
ในช่วงท้ายถามว่า มั่นใจแค่ไหนว่าจะได้กลับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตนไม่รู้ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี เค้าให้อยู่ไหนก็อยู่ตรงนั้นเพราะทุกที่สบายใจหมดอย่าไปคิดมาก