svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สรุปไฮไลท์อภิปรายงบ 67 วาระ 2 "ฝ่ายค้าน- รัฐบาล" ถกกันเดือด สุดท้ายให้ "ผ่าน"

20 มีนาคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สรุปไฮไลท์อภิปรายงบประมาณรายจ่ายปี 67 วาระ 2 ฝ่ายค้านรุมสับรัฐเบิกจ่ายล่าช้า - กลาโหม ปรับลดไม่จริง ใช้หมื่นล้านดูแลด้านจิตวิทยา ไร้ดัชนีวัดผล สุดท้ายเสียงข้างมากโหวต "ผ่าน"

20 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงินงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 2 เรียงตามมาตรา ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 พิจารณาเสร็จแล้ว

โดยช่วงเช้าไฮไลท์อยู่ที่ การพิจารณามาตรา 4 งบรวม โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.งบฯ ปี 67 ขอสงวนความเห็น และอภิปรายว่า ขอปรับลดงบฯ 3 หมื่นล้านบาท เพราะงบประมาณเบิกจ่ายล่าช้า เนื่องจากงบฯ ปี 67 มีการอนุมัติงบไปพลางก่อนไปแล้วโดย ผอ.สำนักงบประมาณ มูลค่า 1.8 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลือที่สภาฯ สามารถพิจารณาได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องไปโอนเปลี่ยนแปลงคืน ไม่ต้องถูกสำนักงบฯ ทักท้วงในห้องประชุม มีมูลค่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งคือ 1.68 ล้านล้านบาท

อัดรัฐบาลเบิกงบล่าช้า สมควรตัดงบ

"ดังนั้น ถ้ามีใครบอกว่างบประมาณไม่ออก 2 ไตรมาสแรก ไม่ได้เป็นปัญหาจากที่สภาฯ เนื่องจากสำนักงบฯ ได้มีการอนุมติงบไปพลางก่อนแล้ว แต่ที่เบิกจ่ายล่าช้าเป็นเพราะรัฐบาลขาดประสิทธิภาพในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพราะงบใช้ไปพลาง สำหรับงบประจำเบิกจ่ายไปแล้ว ณ วันที่ 15 มี.ค.เบิกได้แค่ 79 เปอร์เซนต์ แต่ที่กังวลคือรายจ่ายลงทุน มีการอนุมัติไปแค่ 155,000 ล้านบาท ซึ่งปกติเราอนุมัติรายจ่ายลงทุนทั้งปี ประมาณ 6 แสนล้านบาท แต่ปรากฎว่าเบิกจ่ายไปได้เพียง 55 เปอร์เซนต์ ใน 6 เดือน ดังนั้น ดิฉันคิดว่าถ้ารัฐบาลขาดประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายงบฯ ขนาดนี้ ก็สมควรถูกตัดงบลง" น.ส.ศิริกัญญา ระบุ

“เรืองไกร” ปูดอ้างนายกฯล็อบบี้ขอพันล้านเข้างบกลาง ขู่ไม่ตัดเจอร้องป.ป.ช.

ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะคณะกรรมาธิการฯ สงวนความเห็น อภิปรายขอปรับลดงบกลาง 1,400 ล้านบาทว่า ในคณะกรรมาธิการฯ ที่มีการหารือกันอยู่นั้น มีรองประธานคณะกรรมาธิการฯ บอกว่าของบให้รัฐสภาไทย ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะจะมีส่วนได้เสีย

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ในการพิจารณาปรับเพิ่ม 1,000 ล้านบาท วันนั้นมีการพูดคุยกันกลางห้องประชุม จับกลุ่มพูดคุยว่าจะเอาตรงไหนไปไหน มีการบอกว่าจะเอาไปประกันสังคม 500 ล้านบาท ส่วน 1,000 ล้านบาทบอกว่าท่านนายกฯ ขอมา ผมฟังแล้วผมก็ตกใจ ถ้าบอกขอมา อย่างนี้วันนี้ผมต้องขอเสนอตัดออก เพราะให้ผ่านไปไม่ได้ ถ้าให้ผ่านไปในมาตรา 144 ก็ต้องถูกร้องแน่ การที่มาพูดแล้วในห้องคณะกรรมาธิการฯ แม้ว่าจะไม่ได้ออกเสียง แต่ก็มีคณะกรรมาธิการฯ ที่เป็นคณะรัฐมนตรีนั่งอยู่ด้วย…ศาลรัฐธรรมนูญบัญญัติคำวินิจฉัยไว้ว่า ถ้ามีส่วนได้เสียในเรื่องนั้นก็ต้องไม่อยู่ในห้อง เฉกเช่นเดียวกันกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ท่านก็ทำเป็นตัวอย่าง ตนเองยังติดใจเรื่องนี้และเสนอให้ท่านตัด 1,000 ล้านบาทออกไป

เพราะอย่างไรงบกลางก็ยังมีกว่า 90,000 ล้าน อย่าไปเสี่ยงกับเงินเล็กน้อย และมีปัญหาทางข้อกฎหมาย เพราะอย่างไรเสียผมเป็นคณะกรรมาธิการฯ แม้เสียงข้างน้อย ผมก็ใช้สิทธิที่จะต้องยื่น ป.ป.ช. แน่นอน ถ้าตัวเลขนี้ไม่ตัดออก

ขณะที่ มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ชี้แจงว่า งบกลางในหมวดสำรองจ่ายในปี 2567 ที่เรากำลังพิจารณากันมีการเบิกจ่ายต่ำ เนื่องจากในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในส่วนของงบกลางที่เป็นเงินสำรองจ่ายนั้น สำนักงบประมาณได้พิจารณาถึงความพร้อม ความสามารถตามระเบียบความจำเป็น แผนงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณควรจะต้องพิจารณา ส่วนใหญ่งบกลางจะจัดสรรในช่วงกลางปีงบประมาณ แต่ในเรื่องของการเบิกจ่ายมีความล่าช้า ส่วนใหญ่ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องของภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดในช่วงฤดูฝนหรือช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้มีความคาดหมายไว้ล่วงหน้า การของบประมาณจึงเกิดขึ้นในช่วงนี้

ส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการของข้าราชการนั้น เป็นการตั้งงบประมาณในรอบ 1 ปีงบประมาณเท่านั้น ซึ่งการเบิกจ่ายเป็นเรื่องที่เราไม่ได้คาดการณ์มาก่อน และคิดว่าประชาชนคนไทยคงไม่อยากเจ็บป่วย ทำให้การตั้งงบประมาณเป็นไปตามสมมติฐานที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นอย่างเพียงพอ

“ทั้งนี้ งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเราจะบริหารงบประมาณอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ จึงขอยืนยันว่าดิฉันเห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการฯ ในมาตรานี้” มนพรกล่าว

 

เสียงข้างมากผ่าน “งบกลาง” หลังถกเดือด

ภายหลังการอภิปรายของสมาชิก ที่ประชุมได้ลงมติให้ความเห็นชอบ 279 เสียง ยึดตามการแก้ไขของคณะกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก โดยมีเสียงไม่เห็นด้วย 160 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง

"ฝ่ายค้าน"ซัดยับ งบกลาโหม ปรับลดไม่จริง

ส่วนไฮท์ไล์ช่วงค่ำอยู่ที่การพิจารณามาตรา 8 ว่าด้วยงบกระทรวงกลาโหม โดยนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่าการลดงบกระทรวงกลาโหม ที่มีการเสนองบเข้ามาทั้งสิ้น 87 ,883,290,100 ปรับลดทั้งสิ้น 2,485,096 ,500 คิดเป็น 2.8% คงเหลือ 85,398,193,600 บาท ซึ่งเรียกว่าลดไม่จริง เมื่อรวมงบประมาณของ 3 กองทัพนี้ในการที่จะจัดทำโครงการใหม่ทั้งหมด 36,231,030,100 ซึ่งจะผูกพันไปถึงปี68 , 69 และ 70 โครงการ ที่เป็นสวัสดิการของประชาชนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โครงการดิจิทัลวอลเล็ท ที่จะเกิดขึ้นโครงการเหล่านี้จะทำยังไงเพื่อจะทำให้โครงการเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองให้กับประชาชนให้ได้รับประโยชน์สูงสุดให้ได้

ผิดหวังตัดงบซื้อ “เรือฟริเกต”

ด้านร.ท.ธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายขอปรับลดงบประมาณของกองทัพลง 5% ว่า งบของกระทรวงกลาโหมในปี 2567 ไม่ตอบโจทย์แนวคิดการพัฒนาร่วมกันของรัฐบาลเลย แต่เป็นงบที่ทำให้กำลังพลรู้สึกสิ้นหวังกับรัฐบาลที่หลีกเลี่ยงใช้คำว่าปฏิรูป นอกจากวิกฤตประเทศที่รัฐบาลยังแก้ไขไม่ได้ผ่านการจัดงบประมาณครั้งนี้ กองทัพบกไม่ได้วิกฤต แต่ที่กำลังวิกฤตคือกองทัพเรือ ท่านกล้าหาญจะตัดลดงบประมาณจัดซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรือ แต่ท่านกลับหลับตา 1 ข้าง ปล่อยให้เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk บินเข้าประเทศไทย เรือฟริเกตที่ซื่อมาปกป้องน่านน้ำกว่า 1,500 ไมล์ทะเลของประเทศ ท่านกลับตัดเขาทิ้งไป กองทัพเรือต้องไม่เป็นเหยื่อทางการเมืองอีกแล้ว

"ไม่มีเหล่าทัพไหนใหญ่เล็กกว่าใคร ทุกเหล่าทัพล้วนมีความจำเป็น และสำคัญในการปกป้องประเทศนี้ แต่การทำงบประมาณแบบนี้ ทำให้กำลังพลหลายคนในกองทัพรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และความรู้สึกคาดหวังว่ารัฐบาลพลเรือนนี้ จะกู้วิกฤตศรัทธา ก็ต้องพับกลับไปผ่านการจัดสรรงบประมาณแบบนี้" ร.ท.ธนเดช กล่าว

 

อัด"กลาโหม" ตั้งงบดูแลด้านจิตวิทยาหมื่นล้าน ไร้ดัชนีไว้ผล

ขณะที่นายเอกราช อุดมอำนวย สส.พรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณกระทรวงกลาโหม บางรายการยังไม่มีความจำเป็น เช่นโครงการ ใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีเทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับปรุงจอ LED วงเงินเกือบ 7 ล้านบาท สำหรับงานพิธีต่างๆ โดยอ้างอิงถึงห้องที่จะมีการปรับปรุงว่ายังสามารถใช้งานได้ มองว่าการใช้งบประมาณควรมีเหตุผลจำเป็นที่เพียงพอ

รวมถึงโครงการด้านกระบวนการยุติธรรมระบบการฝากขังในศาลทหาร 12 ล้านบาท ซึ่งเป็นระบบควบคุมการประชุมทางไกลทางวิดิทัศน์ ซึ่งหากดำเนินทั้งโครงการพบข้อมูลอาจใช้งบประมาณกว่า 24 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นที่ใช้งบประมาณเพียงเกือบ 3 ล้านบาทเท่านั้น  และโครงการจัดซื้อระบบลงนามอิเล็คทรอนิกส์ เกือบ 10 ล้านบาท 

พร้อมกันนี้ก็หยิบยกการตั้งงบประมาณการใช้จ่ายปฏิบัติงานการจิตวิทยาและการปฎิบัติงานสื่อมวลชน เกือบ 10,000 ล้านบาท หรือ 9,700 ล้านบาท  โดยชี้ว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่มีตัวชี้วัดประสิทธิภาพ

“มีคนผูกคอในค่าย ท่านดูแลจิตวิทยาดูแลความสัมพันธ์ของคนข้างในก่อน และผมไม่แน่ใจว่างบที่ใช้เอาไปสร้างไอโอหรือเปล่า” นายเอกราชกล่าว

 

ขณะที่นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้แปรญัตติสงวนความเห็น ขอตัดงบโครงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ เรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเทคโนโลยีสาระสนเทศน์และการสื่อสาร จำนวน 104 ล้านบาท อีกตัวนึงคือค่าใช้จ่ายในการ ปฏิบัติการมวลชน 9.7 ล้านบาทเศษ ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นงบประมาณของกองทัพหรือไม่ เราจะเห็นตามสื่อออนไลน์ที่เป็นคำถามสังคมในหลายครั้ง ทั้งการทำคลิปจากอินฟลูเอนเซอร์ หรือโพสต์พีอาร์กองทัพ ล่าสุดกองทัพบกได้ทำโครงการทหารแจกมีมบนเฟซบุ๊ก

“ไม่รู้ว่าเป็นมีมจริงหรือไม่ แถวบ้านผมเขาเรียกว่าคำคม Friends Life’s Better with You ก็เลยสงสัยว่าความเข้าใจของกองทัพในการทำประชาสัมพันธ์มีจริงหรือไม่ แค่มีมกับคำคมยังแยกไม่ออก”

 

ด้านนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า งบประชาสัมพันธ์สร้างภาพ จำนวน 50-60 ล้านบาท มีการประกาศชัดว่าทำ IO หน่วยงานอื่นไม่เห็นต้องทำ หมอเขามาทำแบบนี้หรือไม่ สารคดีวันกองทัพไทยต้องมีทุกปี ทำซ้ำไม่ได้ ไม่รู้มันแตกต่างตรงไหน สร้างภาพลักษณ์ที่ดีก็ว่าแปลกแล้ว ยังมีการสร้างเกียรติยศให้ตัวเอง เช่น การเดินสวนสนาม ซักซ้อมพิธีต่อหน้าธงเฉลิมพล

“เท้าต้องลงพร้อมกัน ถ้าลงไม่พร้อมกัน ความมั่นคงในประเทศนี้มันจะยังไง สวนสนามกันบนรถ บนฟ้า ในน้ำด้วย ทุกมิติจริงๆ” นายจิรัฏฐ์ กล่าว

นายจิรัฏฐ์ ยังกล่าวว่า งบประมาณของกองทัพใช้เหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย สร้างประปา ไฟฟ้า ขายกันภายใน โยกกันไปมา หวังว่ากระทรวงกลาโหมจะปรับวิธีคิด การจัดงบประมาณไม่ได้สะท้อนว่ากองทัพเข้าหาประชาชน

เสียงข้างมาก "ผ่าน" ให้ตัดงบกลาโหม

จนสุดท้ายที่ประชุมมีมติ 448 เสียง เห็นควรให้มีการปรับลด และเห็นด้วยตามการปรับลดของคณะกรรมาธิการ 284 เสียง ไม่เห็นด้วย 163 เสียง

นอกจากนี้ไฮท์ในช่วงหัวค่ำได้มีการพิจารณาในมาตรา 9 ในส่วนของกระทรวงการคลัง โดยนายเรืองไกร ได้อภิปรายในฐานผู้สงวนความเห็นในส่วนกรมสรรพกร โดยหยิบยกคำพิพากษาเกี่ยวกับการคำนวนภาษีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพกร กรณีขายหุ้นเทมาเส็ก ซึ่งนายทักษิณชนะคดี แต่ก็มีความแปลกตรงหน้า 4 แผ่นที่ 3 จนถูกมองว่าเป็นอภินิหารทางกฎหมายอะไรบางอย่าง ทำให้ทางสส.เพื่อไทย ต่างประท้วงให้มีการอภิปรายอย่างมีขอบเขตไม่พาดพิงคนนอก ก่อนที่จะมีการสลับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ขึ้นมาเป็นประธานแทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน และได้มีการสั่งให้ยุติการพูดถึงเรื่องดังกล่าว 

อย่างไรก็ตามการอภิปรายงบประมาณปี 67 วาระ 2 จะมีการพิจารณาไปจนถึงเวลา 1 นาฬิกา ก่อนที่จะมีการประชุมต่อในวันพรุ่งนี้(21 มี.ค.)

 

logoline