
19 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ กรรมการ ป.ป.ช. ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 14 แทน พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ อดีต กรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์
โดยผู้ที่ถูกเสนอชื่อ ได้แก่ "พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง" หรือ "บิ๊กจ้าว" ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) โดยเป็นการพิจารณา และลงมติคะแนนแบบลับ ภายหลังการพิจารณาของคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วเสร็จ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติ "ไม่เห็นชอบ" ให้ พล.ต.ท.ธิติ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยคะแนนไม่เห็นชอบ 88 คะแนน : เห็นชอบ 80 คะแนน และไม่ออกเสียง 30 คะแนน จึงทำให้คะแนนเห็นชอบน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สว. ที่มีอยู่ หรือ 125 เสียง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในการประชุมพิจารณาแบบลับนั้น สมาชิกวุฒิสภา ได้ถกเถียงถึงคุณสมบัติของ พล.ต.ท.ธิติ อย่างเข้มข้น เนื่องจาก มี สว.ส่วนหนึ่ง มองว่าตำแหน่ง "ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล" ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับตำแหน่ง "อธิบดี" และจะต้องดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 5 ปี ตามคุณสมบัติของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการองค์กรอิสระได้
และแม้พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี และระเบียบคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เทียบเท่าอธิบดี กำหนดให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สามารถเทียบเท่าอธิบดีได้ แต่ สว.ส่วนใหญ่ เห็นว่า กฎหมาย และระเบียบดังกล่าวใช้บังคับแค่สำนักงานตำรวจ หรือกองทัพเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงกรรมการองค์กรอิสระ
ขณะที่ การประชุม สว. ในวันที่ 20 ก.พ. ยังวาระสำคัญในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 14 แทน นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อดีต กรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ ได้แก่ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ในฐานะอดีตรองประธานศาลฎีกา ระหว่าง 1 ต.ค. 2565 - 30 ก.ย. 2566 ซึ่งการพิจารณา และการลงมติจะดำเนินในแบบลับ