svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"พิธา-ชัยธวัช" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยัน ไร้เจตนาบ่อนทำลาย-แยกสถาบันฯจากชาติ

31 มกราคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"พิธา-ชัยธวัช" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยืนยัน ไม่มีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลาย หรือแยกสถาบันฯ ออกจากชาติ เผย ต้องรอเอกสารคำวินิจฉัยตัวเต็ม เพื่อรับมือในทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจ

31 มกราคม 2567 ที่ห้องประชุม 607 อาคารรัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล , นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยกรรมการบริหาพรรค และ สส.ของพรรค ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า นโยบายหาเสียงแก้ไข ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง เซาะกร่อนบ่อยทำลายสถาบัน และให้ยุติการกระทำดังกล่าว
\"พิธา-ชัยธวัช\" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยัน ไร้เจตนาบ่อนทำลาย-แยกสถาบันฯจากชาติ โดยนายชัยธวัช กล่าวว่า หลังจากมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะวินิจฉัยว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลว่าเป็นการล้มล้างการปกตรอง แต่ขอยืนยันอีกครั้งว่า "เราไม่ได้มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลาย หรือแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาจากชาติ"

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ พวกเรายังกังวลว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองไทยในระยะยาวอีกด้วย เพราะฉะนั้น ก็อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางอำนาจ ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต และอาจกระทบต่อความเข้าใจ การให้ความหมายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ซึ่งหลักการสำคัญของระบอบการเมืองไม่มีความชัดเจนแน่นอน สิ่งที่เคยกระทำได้ในอดีตทั้งในสมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช หรือในสมัยระบอบประชาธิปไตย อาจกลายเป็นการล้มล้างการปกครองได้ในปัจจุบันและอนาคต และอาจจะกระทบเรื่องสำคัญอีก เช่นการตีความว่าอะไรคือการล้มล้างการปกครอง อาจจะเกิดปัญหาที่พวกเราเข้าใจหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแน่นอนไม่ตรงกัน มีความคลุมเครือทั้งในแง่การตีความข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย รวมถึงเจตนา 

คำวินิจฉัยในวันนี้อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่อดุลยภาพระหว่างประชาธิปไตยกับสถาบันฯ ในระบอบการเมืองไทยในอนาคต ซึ่งอาจจะทำให้สังคมไทยสูญเสียโอกาสในการใช้ระบบรัฐสภา ในระบบประชาธิปไตยในการหาข้อยุติความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกันในสังคมในอนาคต 

\"พิธา-ชัยธวัช\" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยัน ไร้เจตนาบ่อนทำลาย-แยกสถาบันฯจากชาติ
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า สุดท้ายคำวินิจฉัยในวันนี้อาจส่งผลกระทบให้ประเด็นเรื่องสถาบันฯ กลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อสถาบันฯ เสียเอง  

ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลขอขอบคุณทุกกำลังใจจากประชาชนที่ส่งมาให้พวกเราตลอดหลังจากที่มีการอ่านคำวินิจฉัย แต่อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยในวันนี้จะไม่ได้กระทบเฉพาะพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่จะกระทบต่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศและสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน  

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนไม่ใช่ของพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องของอนาคตของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

หลังจากนายชัยธวัช อ่านคำแถลงเสร็จสิ้น นายชัยธวัช ก็ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีเตรียมรับมืออย่างไรที่หลังจากนี้อาจมีคนไปยื่นยุบพรรคก้าวไกล นั้น นายชัยธวัช บอกว่า ตอนนี้ยังคงต้องรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญโดยละเอียดอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถประมาทได้ในทางกฎหมาย  ส่วนจะมีการต่อสู้อย่างไรนั้น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญถือว่าที่สุดแล้ว ไม่สามารถโต้แย้งได้ แต่ไม่กังวล และไม่ประมาท

ส่วนมองว่า จะซ้ำรอยพรรคอนาคตใหม่หรือไม่นั้น นายชัยธวัช ระบุว่า ยังไปไม่ถึงตรงนั้น ขั้นตอนต่อไปเราคงต้องรอเอกสารคำวินิจฉัยที่สมบูรณ์ตัวเต็ม เพื่อที่รับมือในทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
\"พิธา-ชัยธวัช\" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยัน ไร้เจตนาบ่อนทำลาย-แยกสถาบันฯจากชาติ  สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีการกล่าวถึงพฤติกรรมบุคคลภายในพรรคก้าวไกล ทั้งการเข้าขื่อแก้ไข 112 ประกันตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหา นายชัยธวัช ระบุว่า เราค่อนข้างกังวลคำวินิจฉัย ที่เราไม่มั่นใจในหลักเกณฑ์ที่แน่นอน ทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเจตนา

พร้อมยกตัวอย่างเช่น การจะบอกว่ามี สส.พรรคก้าวไกลไปประกันตัว ผู้ที่ถูกกล่าวหาคดี 112 ถือว่าเป็นองค์ประกอบว่าล้มล้างการปกครองก็มีปัญหา เท่ากับว่าหลักเกณฑ์ตามกฏหมาย ที่รับรองในรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่าหลักที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อน การกล่าวหาบุคคลใดข้อหาใด ต้องกล่าวหาอยู่บนพื้นฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มันทำให้ขัดกัน 

และการประกันตัวผู้ต้องหาไม่ว่าจะข้อหาใดๆ เป็นการใช้สิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมของทุกคน เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ยกเว้น ว่าข้อกล่าวหานี้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือห้ามประกัน หรือใครเข้ามาประกันตัว หรือใครเข้ามาเกี่ยวข้องถือมีความผิดไปด้วย ฉะนั้นถ้าผู้พิพากษาที่วินิจฉัยให้ผู้ที่ถูกล่าวหา ในการกระทำผิด ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครองไปด้วยหรือไม่ เราจึงกังวล แต่คำวินิจฉัยออกมาแล้ว แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อหลักเกณฑ์ในการตีความ ความไม่ชัดเจนแน่นอนในการใช้กฎหมาย อะไรคือ ขอบเขต

ส่วนนโยบายต่างๆ ที่เคยเสนอที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112  นั้น คำวินิจฉัยที่ตุลาการฯอ่าน มี 2 เรื่อง คือ สั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสอง เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ และโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มียกเลิกการประมวลกฎหมายอาญา 112 อันหมายความว่า หลังจากนี้ถ้าก้าวไกลจะต้องห้ามพูด 112 โดยสิ้นเชิงหรือไม่ หรือการพูดให้เพิ่มโทษ ในมาตรา 112 ถึงจะทำได้หรือไม่  

นี่ยังไม่นับรวมสื่อมวลชน หรือนักวิชาการที่แสดงความคิดเห็นต่อมาตรา 112 ก็จะทำให้ได้หรือเปล่า หรือแสดงแบบไหนถึงผิด หรือมีการแสดงความคิดเห็นว่ามาตรา 112 อาจจะถูกปรับปรุง จะมุ่งเจตนาไปสู่การล้มล้างหรือไม่ อย่างรายงาน คอป. ที่เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่ง ส.ส. พรรคก้าวไกลก็นำมาใช้ ข้อเสนอดังกล่าวถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครองด้วยหรือไม่ 

ซึ่งเป็นการเสนอของอาจารย์คณิต ณ นคร ที่เสนอให้ลดโทษ โดยให้สำนักพระราชวัง เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษแทนประชาชน แทนที่จะให้ประชาชนเป็นผู้ร้องทุกข์ดำเนินคดี ต้องดูคำวินิจฉัยอย่างละเอียด เพราะในอนาคตอาจจะทำให้เกิดปัญหา ซึ่งจากนี้ไปหากมีการเสนอกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเข้ามาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องรอให้ผ่านวาระที่ 3 ก่อน ซึ่งคำวินิจฉัยวันนี้แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อปัญหาในอนาคตได้

ส่วน สส. 44 คนของพรรคก้าวไกล ที่เคยเข้าชื่อแก้ไขมาตรา 112  อาจถูกลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง นายชัยธวัช ระบุว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น จากนี้การดำเนินการใดๆที่เกินสมควร ยืนยันจะทำให้สถาบันฯ เป็นปมปัญหาประเด็นความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น พรรคก้าวไกลมีเจตนาที่จะยุติ ลดการนำสถาบันฯ มาเป็นข้อขัดแย้ง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันฯ เจตนาข้อเสนอ ม.112 ของพรรคก้าวไกล ไม่ต้องการให้นำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่เปิดช่องให้ใครผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับตัวเอง และอาศัยความจงรักภักดีนั้น แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่ปฏิเสธไม่ได้ นี่ คือเจตนาที่แท้จริงของพรรคก้าวไกลไม่ใช่อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ใช่แค่พรรคก้าวไกลที่ใช้นโยบายนี้ในการหาเสียงยังมีพรรคการเมืองอื่นอีกด้วย และที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าใช้ ม.112 หาเสียง เป็นการลดสถานะสถาบันฯ ให้เข้ามาอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง มาเป็นคู่ขัดแย้งประชาชน ผ่านการเลือกตั้ง ตนเอง อยากถามว่าพรรคการเมืองที่รณรงค์หาเสียงว่าตัวเองเป็นผู้จงรักภักดี อีกพรรคหนึ่งไม่จงรักภักดี หรือโจมตีอีกพรรคหนึ่งว่า มีเจตนาที่บ่อนทำลายต่อสถาบันฯ หรือขึ้นรูปราชวงศ์ในเวทีหาเสียงถือว่าเป็นการลดทอน บ่อนเซาะทำลายทำให้สถาบัฯ ไม่อยู่ในสถานะที่เป็นกลางทางการเมืองหรือไม่

ส่วนคำวินิจฉัยจะมีผลต่อกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอกระทบต่อสภาหรือไม่ โดยเฉพาะ พรบ.นิรโทษกรรม กับผู้กระทำความผิดมาตรา 112  นายชัยธวัช ระบุว่า นี่คือสิ่งที่กังวล เพราะการตีความที่อาจจะไม่มีขอบเขตไร้หลักเกณฑ์ โดยเฉพาะการเสนอในเรื่องของนิรโทษกรรม ผู้ที่ถูกดำเนินคดี หรือผู้ต้องขังจากข้อหามาตรา 112 ถือว่าลดการคุ้มครอง บ่อนเซาะทำลาย มีเจตนาซ่อนเร้น ล้มล้างการปกครองก็ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่กระทบต่อการปกครองในอดีต ตั้งแต่ปี 2478-2499 ที่ละเว้นโทษ ในฐานความผิดหมิ่นสถาบันฯ ที่ไม่ได้มีปัญหาเลยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  แต่ปัจจุบันถูกวินิจฉัยถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง นี่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจน ในปัจจุบันซึ่งในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะถูกวินิจฉัยออกมาแบบไหนอีก 

ส่วนมีโอกาสถอย พรบ.นิรโทษกรรม เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นที่ถอยเรื่องแก้ไข มาตรา 112  หรือไม่ ขอให้เป็นเรื่องของกลไกรัฐสภา เพราะร่างกฎหมายเสนอไปแล้ว เนื่องจากสุดท้ายยังคิดว่าเสียงส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อยุติที่ทุกคนยอมรับร่วมกันได้

ส่วนกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เตรียมเดินทางยื่นยุบพรรคก้าวไกลในเวลา 10.00 น. พรุ่งนี้ (1 ก.พ.67) ขอดูคำร้องก่อน
\"พิธา-ชัยธวัช\" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยัน ไร้เจตนาบ่อนทำลาย-แยกสถาบันฯจากชาติ ด้าน นายพิธา ได้กล่าวเป็นภาษาไทย ว่า เท่าที่ฟังมาความคิดของตนสอดคล้องกับนายชัยธวัช พูดไปก็ต้องยืนยันเจตนาว่า เราบริสุทธิ์ใจ ไม่มีวาระซ่อนเร้นแต่อย่างใด และไม่มีความตั้งใจที่จะแยกสถาบันฯ ออกจากความมั่นคงของชาติ และที่พูดเป็นภาษาอังกฤษคือกังวล อยู่ 2-3 เรื่องคือ นิยามคำว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

และกังวลขอบเขตระหว่างนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญว่าอะไรทำได้ทำไม่ได้ และเรื่องเกี่ยวคำวินิจฉัยว่าอะไรที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ในเรื่องของเจตนาและถ้าลึกกว่านั้น จะเป็นเรื่องสำคัญทางนิติรัฐ นิติธรรม เช่น การสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน สิทธิการประกันตัว สิทธิการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้อง ความเปลี่ยนแปลงในสังคม ตนรู้สึกเสียดาย โอกาสที่จะออกจากความขัดแย้ง โดยนามสถาบันฯ มาอยู่ในความขัดแย้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องดูในรายละเอียดและกลับมาหารือกันอีกครั้ง

\"พิธา-ชัยธวัช\" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยัน ไร้เจตนาบ่อนทำลาย-แยกสถาบันฯจากชาติ
"พิธา" พบมวลชน บอกกำลังใจยังดี ไม่กังวล 

\"พิธา-ชัยธวัช\" นำ สส.ก้าวไกล แถลงยัน ไร้เจตนาบ่อนทำลาย-แยกสถาบันฯจากชาติ จากนั้น ในเวลา 17.50 น. นายพิธา ได้ลงมาที่โถงทางเข้า เพื่อพบปะกับมวลชนที่เดินทางมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่งด้วย เมื่อนายพิธามาถึง มวลชนต่างตะโกนเรียก "นายกพิธา นายกในดวงใจของประชาชน" "ไม่ว่าเขาจะแขวนไว้ตรงไหนเราจะยังรักและศรัทธาคุณ" และเข้าสวมกอดให้กำลังใจ หอมแก้ม และขอลายเซ็นต์ ถ่ายรูปกับนายพิธาด้วย

นายพิธา บอกด้วยว่า วันนี้อยากมาขอบคุณทุกคน ทราบว่า ประชาชนเดินทางมาจากหลายจังหวัด ก็อยากเข้ามาก็ขอบคุณประชาชน วันนี้สติดี และกำลังใจยังดี มีสมาธิในการแก้ไขปัญหา ถ้ามีสถานการณ์อะไรมาก็ค่อยๆแก้กันไป ถ้าไม่มีสติแล้วกังวลใจมากเกินไปก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ขอให้ไม่ต้องกังวลใจอะไร 

ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ย้ำว่า ไม่ได้กังวลใจที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จะไปยื่นร้องกับกกต. และก็คงต้องดูคำร้องก่อน

logoline