svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

นักวิชาการยกกรณี"ลุงเปี๊ยก"ได้เวลาปฏิรูปโครงสร้างตำรวจให้ยึดโยงประชาชน

นิติศาสตร์ มธ. จัดเสวนาปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรมไทย ยกเคส "ลุงเปี๊ยก" เป็นกรณีศึกษา ด้าน "นักวิชาการ" สะท้อนปฏิรูปอาจไม่พอ ต้องเน้นไปถึงโครงสร้างเพื่อให้ยึดกับพลเมือง

22 มกราคม 2567 กลายเป็นประเด็นให้ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก ไปถึงการทำงานของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ต่อการดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องลงมือทำร้ายร่างกาย "ป้าบัวผัน" หรือ ป้ากบ วัย 47 จนเสียชีวิต ที่จ.สระแก้ว แม้จะมีการจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ภายหลัง แต่กลับเป็นบุคคลที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ จนมีเสียงวิจารณ์ตามมาถึงการจับแพะ หรือ หาคนมารับผิดแทน ผู้ที่ลงมือทำจริงๆ

ล่าสุด ทางคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้มีารจัดสัมมนาการปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรมไทย แบบทำน้อยได้มากและเห็นผลเร็ว : กรณีศึกษาลุงเปี๊ยก 

โดย "นายปกป้อง ศรีสนิท" คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ต้นทาง หลายคดีตำรวจทำงานได้ดี ก็จะสร้างความเป็นธรรมให้สังคม ความสงบเรียบร้อยกลับมา ผู้เสียหายได้รับการเยียวยา ซึ่งก็มีให้เห็น

ทั้งนี้ แต่บางคดีที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวซึ่งอยู่ในชั้นตำรวจ ก็เกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคอร์รัปชัน การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือช่วยเหลือกันในทางที่มิชอบ ทำให้เกิดปัญหาในภาพรวม อีกทั้ง ความผิดในการรีดให้ผู้ต้องหารับสารภาพ แต่ไม่รุนแรงถึงขั้น พ.ร.บ.อุ้มหาย หรือเรียกว่า cidt คือ การกระทำให้บุคคลถูกย่ำยีศักดิ์ศรี โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นโทษอาญาเหมือนกัน แต่เบากว่าจำคุกไม่เกิน 3 ปี
 

ด้าน "นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล" ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กรณีลุงเปี๊ยก ทุกคนก็รู้ว่าไม่ได้เป็นคนสังหารป้าบัวผัน แต่ยังให้ออกไปทำแผนรับสารภาพ เปิดแอร์ในห้องสอบสวนให้หนาว บังคับให้ถอดเสื้อ เอาถุงดำเตรียมคลุมหัว ถือว่าไม่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งที่กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ ดังนั้น กรณีนี้เข้าข่ายอุ้มหายอย่างชัดเจนที่สุด แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เอาผิดแค่กฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งถ้าไม่เอาจริงกับตำรวจผู้ละเมิดกฎหมาย ต่อไปก็จะมีการละเมิดอีก เพราะทำไปแล้วไม่มีผลอะไร

 

"ที่สำคัญตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ ต่างคนต่างทำงาน ไม่มีการบูรณาการ และไม่มีการประเมินผลกระบวนการยุติธรรม จึงเสนอแนวทางทำน้อยได้มาก เห็นผลเร็ว ไม่ถึงขั้นต้องแก้ พ.ร.บ. แต่ให้เปลี่ยนเป็นหลักสูตรอบรมระยะสั้นที่ทำได้ทันที โดยให้ตำรวจมุ่งเน้นพลเมือง และเคารพกฎหมาย เมื่อผลสัมฤทธิ์ตามงาน ก็ประเมินความดีความชอบ เลื่อนตำแหน่ง และให้ยกเลิกขังผู้ต้องหาและจำเลยในคุก คือ ไม่ขังรวมกับนักโทษ ให้ทำงานบริการสังคมแทนการกักขังแทนค่าปรับ มีการบูรณาการตรวจสอบและประเมินผล" นายปริญญา กล่าว 

 

 

ขณะที่ ตำรวจ 2 นาย จากแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า ระบบของเยอรมนี เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีการแยกระดับในการทำหน้าที่อย่างชัดเจน อย่างในบาวาเรีย มีมาตรฐานหลักสูตรการฝึกอบรม ที่จะต้องดูแลประชาชน นักเรียนนายร้อยจะต้องมีความสุภาพ และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ

นอกจากนี้ คุณสมบัติของการเป็นตำรวจที่ดี คือ คนเป็นผู้นำต้องยึดกฎหมาย มีความรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และตำรวจจำเป็นต้องปกป้องสิทธิพื้นฐานของประชาชน ต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ที่สำคัญยังต้องทำงานเป็นทีม ต้องรู้นิสัยและวัฒนธรรมของคนกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม งานเสวนาดังกล่าวได้มีการเชิญ "พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล" รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) แต่ติดราชการที่ จ.ระนอง แต่ได้ส่งข้อความชี้แจงคดีลุงเปี๊ยก ผ่านมายังนายปริญญา

ซึ่งนายปริญญา สรุปให้ฟังว่า ตำรวจชุดจับกุมใช้วิธีสอบสวนทรมานข่มขู่ จนผู้ต้องหายอมรับสารภาพ สิ่งที่มีการดำเนินคดีตอนนี้ คือ กฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่ไม่ได้พูดถึง พ.ร.บ.อุ้มหาย ซึ่งคดีลุงเปี๊ยกเป็นตัวอย่างสะท้อนเหตุปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมไทย จึงถือเป็นบทเรียนสำคัญว่า

จากนี้ไปตำรวจต้องระมัดระวังการใช้อำนาจในการสอบสวน ประชาชนต้องได้รับการคุ้มครอง ตำรวจจำเป็นต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ต้องมีการปฏิรูปตำรวจ แต่ตอนนี้ถ้าเร่งด่วน หากเป็นแนวทางทำน้อยได้มาก ก็ต้องมุ่งไปที่โครงสร้างตำรวจ กระบวนการสอบสวน กระบวนการทางอาญา และปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรตำรวจ