24 ตุลาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธาน ประชุมคกก.พัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาตินัดแรก
น.ส.แพทองธาร ระบุว่า การทำงานการและเหตุผลหลักการประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค การได้รับบริการสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อป้องกันโรค ก่อนที่จะเกิดอาการเจ็บ การเข้ารับการบริการทางการแพทย์ การวางแผนโรคแผนการรักษาที่เหมาะสม สำหรับพร้อมกับอาการเจ็บป่วย พร้อมกับการฟื้นฟูสุขภาพหลังการรักษา
นอกจากนี้โครงการดัวกล่าวดำเนินการมาเป็นระยะเวลามากกว่า 2 ทศวรรษในการดำเนินนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ตั้งแต่ปี 2544 โดยครอบคลุมการดูแลสุขภาพ ตามหลักประกันสุขภาพของประชาชนการเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การเพิ่มประสิทธิภาพทางการแพทย์ และการลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพให้กับประชาชน
ขณะเดียวกันระหว่างปี 2531 ถึงปี 2560 หลังจากการดำเนินการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พบว่าครัวเรือนที่ต้องการ เป็นครัวเรือนยากจนภาย หลังจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลมีจำนวนลดลง เห็นได้ชัดตั้งแต่ 250,000 ครัวเรือนในปี 2531 เหลือเพียง 52,600 ครัวเรือนในปี 2560
ซึ่งถือได้ว่านโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประสบความสำเร็จในการประกาศใช้มาแล้ว กว่า 20 ปี และวันนี้จำเป็นจะต้องยกระดับนโยบายดังกล่าวให้สอดคล้องกับสังคมและวิถีชีวิตในปัจจุบัน เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายนี้จะยังคงเป็นหลักประกันสุขภาพที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับประชาชน ทุก ๆ คนในพื้นที่ ในประเทศไทย และเป็นการปูทางสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้นของโครงสร้างระบบสาธารณสุขในทุกมิติ
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาประชาชนที่ได้เข้าถึงสิทธิ์รักษาพยาบาลตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่การกระจายจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ยังไม่เหมาะสม ขาดแคลนพยาบาลและการส่งต่อผู้ป่วยที่ไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูลของผู้ป่วยของประชาชน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ในการเข้ารับบริการและความแออัดในการรอคอยการรักษาในชนบทประชาชนเข้าถึงการแพทย์ได้อย่างยากลำบาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่จะต้องใช้เวลาและเงินทองในการที่จะเดินทางเข้ามายังตัวอำเภอเพื่อเข้ารับการรักษา ซึ่งขณะที่กำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบมีเทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมาย สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งทางตรงและทางอ้อม
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวอีกว่า การยกระดับมุ่งเน้นการกระจายการรักษาแก้ไขปัญหาเวลาจำนวนมากที่ต้องเสียไป นโยบาย 30 บาทรักษาได้ทุกที่ จะพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ป่วยให้กลายเป็นระบบทิจิทัลทั้งหมด เพื่อให้สะดวกและรวดเร็วต่อการสืบค้นข้อมูลของคนไข้ และประวัติการรักษาพยาบาลไม่ว่าจะเข้ารักษาที่ไหนก็ตามโดยผ่านการยื่นแบบประชาชนใบเดียวเท่านั้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกทั้งประเทศ เพื่อช่วยลดภาระผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ หากเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงสามารถจ่ายยาผ่านระบบออนไลน์ได้
ส่วนจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยเข้ามาพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยลดขั้นตอนการให้บริการผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ใบรับรองแพทย์ การนัดหมายออนไลน์ รวมไปถึงการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างไร้ข้อจำกัดโดยใช้ telemedicine
"มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อนโยบายการยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแล้วเสร็จสมบูรณ์ ประเทศไทยเราจะมีระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถต่อการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน" น.ส.แพทองธาร ระบุ
โดยที่ประชุมมีการพิจารณาประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ โดยนำร่องใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส ,ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข 60 เพื่อดูแลสุขภาพจิต ,บำบัดรักษาฟื้นฟูกลุ่มผู้ป่วยยาเสพติด รวมไปถึงส่งเสริมสุขภาพจิตเชิงรุกในชุมชน