
18 ตุลาคม 2566 นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงพลังงาน กำลังแก้ไขกฎเกณฑ์พลังงานด้านต่าง ๆ โดยขอให้กฎเกณฑ์ใหม่ที่รัฐบาลจะกำหนดนั้น ไม่กระทบฐานะการคลัง หรือ สร้างหนี้สาธารณะ แต่ให้มุ่งแก้ไขกฎเกณฑ์ ที่เอื้อประโยชน์ผู้ผลิตพลังงานอย่างไม่เป็นธรรม จนทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าน้ำมัน และค่าไฟฟ้าแพง
เพราะปัจจุบันประเทศไทย ใช้พลังงานสูงมากเทียบเท่าน้ำมันดิบเกือบ 2,000,000 บาเรล/วัน และตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง มีการปรับราคาน้ำมันบ่อยครั้ง และยังมีความพยายามจะประกาศลดราคาน้ำมันเบนซินแต่ยังไม่เกิดขึ้น และการลดราคาน้ำมันที่ผ่านมา เป็นการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทำให้เกิดภาระทางการคลัง รัฐบาลขาดดุลเงินสดมากขึ้น โดยไม่ได้ปรับ หรือทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมันให้เหมาะสมเป็นธรรม
ส่วนค่าไฟฟ้ารัฐบาลมีการปรับลด 2 ครั้ง รวม 46 สตางค์นั้น นายพิสิฐ กล่าวว่า ก็เป็นราคาที่ลดลง โดยไม่ได้เกิดจากการปรับโครงสร้างเช่นกัน แต่เกิดจากการยืดหนี้ที่ต้องจ่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตออกไป แม้พรรคประชาธิปัตย์ และตนเอง จะเห็นด้วยกับการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่มาตรการลดค่าพลังงานของรัฐบาลในเดือนที่ผ่านมา เป็นการแก้ปัญหาที่ฉาบฉวย เบียดบังทางการคลัง มากกว่าการปรับลดผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน
ดังนั้น ทั้ง 2 มาตรการที่รัฐบาลประกาศไปนั้น จึงเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของฐานะการคลัง และสร้างหนี้สาธารณะ เป็นการผลักภาระให้ประชาชนในอนาคต
นายพิสิฐ ได้เสนอให้รัฐบาล ปรับกฎเกณฑ์นโยบายราคาพลังงานที่ไม่กระทบฐานะการคลัง ซึ่งจะไม่ทำให้คนรุ่นหลังต้องรับภาระแทน และจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดลดลงได้ทันทีอย่างน้อย 1.20 บาทต่อลิตร และลดค่าไฟฟ้าลงได้ 60 สตางค์ต่อหน่วย ได้แก่
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จะต้องยกเลิกแนวคิด import parity ที่ผูกสูตรคำนวณราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่น ที่ใช้มาประมาณ 50 ปี โดยมีหลักคิดจากสภาพในอดีต ที่ไทยมีโรงกลั่นเพียงแห่งเดียว และต้องพึ่งพาสิงคโปร์ในการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป จึงมีการคำนวณราคาน้ำมันที่อิงกับตลาดสิงคโปร์ และบวกค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อกำหนดราคาในประเทศ ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ผู้ผลิตน้ำมัน จึงเป็นเหตุผลที่ต้องยกเลิก
เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการผลิตน้ำมันสำเร็จรูป จนมีเหลือใช้ภายในประเทศต้องส่งออก ไม่จำเป็นต้องมีการนำเข้า โดยราคาที่ลดลง 1.20 บาทนี้ ยังไม่รวมการทบทวนค่าการตลาด ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 2.0 บาทต่อลิตร ซึ่งจากข้อเท็จจริง พบว่า ค่าการตลาดในรอบปี 2565 ถึงปัจจุบัน ยังสูงกว่าที่รัฐบาลกำหนด หากมีการควบคุมราคาการตลาดอย่างจริงจังให้ไม่เกิน 2 บาทต่อลิตรได้แล้ว จะลดราคาน้ำมันโดยเฉพาะเบนซินลงได้อีกไม่ต่ำกว่า 2 บาท โดยไม่จำเป็นต้องไปกระทบฐานะการคลังหรือสร้างหนี้ในกองทุนน้ำมัน ที่ปัจจุบันยังมีหนี้สินสุทธิกว่า 68,327 ล้านบาท
สำหรับมาตรการในระยะยาวนั้น นายพิสิฐ แนะนำให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์ เช่น โครงสร้างภาษีสรรพาสามิต, โครงสร้างกองทุนเงินชดเชยน้ำมัน, การละเว้นการก่อหนี้ในกองทุนน้ำมัน, การทบทวนการใช้เอทานอล และน้ำมันปาล์ม มาผสมกับน้ำมัน, การลดประเภท/ชนิดของน้ำมันลง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และการควบคุมไม่ให้มีการครอบงำตลาด จนไม่เกิดการแข่งขัน จากการลดจำนวนผู้ประกอบการในตลาดน้ำมัน เพราะถูก take over ที่ลดจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการ
นายพิสิฐ ยังกล่าวถึงการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าว่า จะต้องทบทวนโครงสร้างต้นทุนของการนำแก๊สธรรมชาติมาผลิตไฟฟ้า ที่มีสัดส่วนถึง 60% ของต้นทุนทั้งหมด โดยแก๊สที่มาแหล่งอ่าวไทย สัดส่วนถึง 66% จากแหล่งในประเทศเมียนมา 16% และจากการนำเข้า LNG 18% ซึ่งแก๊สในอ่าวไทย ที่มีราคาที่ถูกกว่าแหล่งอื่น ๆ รัฐจะต้องกันให้เป็นแหล่งพลังงานเพื่อให้คนไทยได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง แต่ที่ผ่านมารัฐได้ใช้ราคาตลาดโลก มาคำนวณราคาแก๊สผลิตไฟฟ้าแบบเฉลี่ยเหมารวม แก๊สจากแหล่งในอ่าวไทยที่ผ่านโรงงานแยกแก๊ส
ส่วนหนึ่งเป็นแก๊สหนักที่ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รัฐได้ขายให้แก่กลุ่มทุนระบบปิโตรเคมีในราคาที่ถูกมาก ทำให้แก๊สจากแหล่งในอ่าวไทยที่เป็นสมบัติของชาติ ที่คนไทยทุกคนควรได้ประโยชน์เสมอภาคกัน ไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ราคาค่าไฟฟ้าถูกลง ดังนั้น หากมีการปรับโครงสร้างการคำนวณราคาขายแก๊ส โดยให้แก๊สจากอ่าวไทย ถือเป็นเชื้อเพลิงในส่วนของ Methane กันไว้เพื่อการผลิตไฟฟ้า และส่วนที่ป้อนปิโตรเคมีให้คิดคำนวณราคา Methane จากแหล่งที่ไม่ใช่อ่าวไทยแล้ว จะทำให้ราคาค่าไฟฟ้าลดลงอีกไม่ต่ำกว่า 1.0 บาทต่อหน่วย
และจะต้องสนับสนุนการใช้ Solar roof และ ระบบ Net metering อย่างแท้จริง เพราะพลังไฟฟ้าแสงอาทิตย์ จึงเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำที่สุด รัฐจึงควรสนับสนุนให้ประชาชนติดตั้งแผงโซล่า และรับซื้อเข้า grid ในราคาที่เป็นธรรม และยกเลิกการใช้ข้อมูลการพยากรณ์ล่วงหน้า เพื่อกำหนดค่า FT มาเป็นการใช้ตัวเลขจริง เพราะจากการศึกษาพบว่า ตัวเลขการคาดการณ์ดังกล่าว มีความคลาดเคลื่อนสูงกว่าตัวจริงมาก ทำให้ค่า FT แต่ละงวดสูง ส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าสูงกว่าความเป็นจริง เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค