
26 กันยายน 2566 ที่ ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำ อ. 2495/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอานนท์ นำภา อายุ 39 ปี แกนนำกลุ่มราษฎร เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่น สถาบันเบื้องสูง , ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง , พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 , พ.ร.บ.จราจรทางบก ฯ
กรณี ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง กลุ่มราษฎร 2563 ที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 63 เรียกร้องให้ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออก 2.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และ 3.ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
โดยบางช่วงบางตอนของการปราศรัย จำเลยได้กล่าว แสดงความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันฯ เหตุเกิดที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
สำหรับวันนี้ (26 ก.ย.) นายอานนท์ จำเลยเดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมด้วยภรรยาและลูกชาย ขณะที่มีทีมทนายความ และตัวแทนสถานทูตเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหประชาชาติ พร้อมมวลชน มาให้กำลังใจประมาณ 100 คน
โดยศาลอาญา พิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า ฝ่ายโจทก์ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.สำราญราษฎร์ , สน.ชนะสงคราม เบิกความสอดคล้องในทำนองเดียวกันว่า วันเกิดเหตุจำเลยกับพวก ได้ร่วมกันจัดชุมนุมทางการเมือง โดยจำเลยแถลงข่าว และใช้สื่อโซเชียล ชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมประมาณ 1,000 คน มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2.มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 3.ปฏิรูประบบสถาบันกษัตริย์
บางช่วงบางตอน จำเลยปราศรัยว่า หากวันนี้มีการสลายการชุมนุม ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะเป็นคำสั่งจากเบื้องบนเท่านั้น ซึ่งเป็นการดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย สถาบันกษัตริย์ให้ได้รับความเสื่อมเสีย ประชาชนเข้าใจผิดถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่จำเลยเป็นนักกฎหมาย และทนายความย่อมทราบดี ถึงขอบเขตการชุมนุม ที่จะไม่กระทบสิทธิเสรีภาพ และสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น อีกทั้งการชุมนุมของจำเลย เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฯ ที่จำเลยอ้างว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุม ได้รับความเดือดร้อนนั้น ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ หักล้างพยานโจทก์ได้
การกระทำของจำเลย เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 4 ปี และ ฐานกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฯ ปรับ 20,000 บาท ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
ภายหลัง นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทนายความนายอานนท์ กล่าวว่า ศาลจำคุก นายอานนท์ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 2 หมื่นบาท
ซึ่งญาติและนายอานนท์แจ้งว่า ประสงค์จะยื่นประกันตัว และเตรียมหลักทรัพย์ไว้ อัตราสูงสุดจำนวน 2 แสนบาท แต่เรากังวลว่า คดีที่มีอัตราโทษสูง 3 - 4 ปี ศาลชั้นตนอาจจะส่งให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งประกัน ทำให้อาจจะใช้ระยะเวลาพิจารณานานหลายวัน จึงอยากจะขอให้ศาล คำนึงถึงสิทธิประกันตัวของจำเลย ที่ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ขณะที่ น.ส.ณัฐาศิริ เบิร์กแมน นายกสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ทางสมาคมได้ติดตามคดีเกี่ยวกับการประกันตัวจำเลยในคดี 112 และคดีอื่น ๆ และพบว่า จำเลยที่ทีความประสงค์จะขอการประกันตัว เพื่อออกไปสู้คดี ส่วนมากในการขอประกันตัวทางศาลชั้นต้น มีสิทธิ์ที่จะออกคำสั่งอนุญาตได้
แต่ศาลไม่สั่ง และมีการส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา ทำให้จำเลยจะต้องเข้าไปติดอยู่ในเรือนจำ ซึ่งเป็นการทำให้เขาเสียสิทธิ์เสรีภาพในระหว่างนี้ ทั้งที่ ประธานศาลฎีกา ได้มีข้อกำหนดของประธานศาลฎีการะบุว่า ในคดีต่าง ๆ ถึงแม้ว่าศาลชั้นต้น จะได้มีคำพิพากษาว่า ให้จำเลยมีความผิดแล้ว แต่ว่าถ้าโทษจำคุกนั้นต่ำกว่า 5 ปี ศาลสามารถให้ประกันตัวได้ ในระหว่างจะอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป จึงขอให้ผู้พิพากษาทั่วประเทศ นำข้อกำหนดนี้ไปใช้
แต่ทางเราเห็นว่า ข้อกำหนดดังกล่าว ไม่มีการนำมาใช้กับคดี 112 ทางสมาคมจึงได้มายื่นหนังสือถึงอธิบดีศาลอาญาในวันนี้ (26 ก.ย.) และยื่นหนังสือถึงผู้พิพากษาศาล ที่พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายอานนท์ในวันนี้ด้วย