
22 กันยายน 2566 "นายภูมิธรรม เวชยชัย" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งคณะกรรมฯ ว่า จากการให้สัมภาษณ์ครั้งก่อน ได้เรียนไปแล้วว่า จะมีการพูดคุยกันภายใน 1 -2 สัปดาห์ เพื่อให้การตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวเรียบร้อย ส่วนไทม์ไลน์การทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ ขอให้มีการนัดประชุมในครั้งแรกก่อน โดยในการประชุมวันแรกจะเห็นไทม์ไลน์ วัตถุประสงค์ ขอบเขต เป้าหมาย การร่างกฎหมายลูกต่างๆ
"ผมหวังว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น สมมุติว่ารัฐบาลครบ 4 ปี ซึ่งผมอยากเห็นการเลือกตั้งครั้งหน้า มีกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ และมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญใหม่ให้สำเร็จ เพื่อใช้ในการเลือกตั้ง" รองนายกฯ ระบุ
ทั้งนี้ ตนได้มีการทาบทาม ผู้ที่มาร่วมเป็นคณะกรรมการชุดดังกล่าวโดยได้มีกทรทาบทามและพูดคุยกับทั้ง "นายเอกชัย ไชยนุวัฒน์" รองคนบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม "น.ส.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้านการพัฒนาพรรคเพื่อไทย "นายนิกร จำนง" ประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งบุคคลเหล่านี้ให้ความสนใจ แต่ก็ต้องพูดคุยในรายละเอียด เพราะอยากให้ทุกคนที่เข้ามาร่วมเกิดความสบายใจ เพราะอยากให้มีการพูดคุยที่มีบทบาท และทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย ส่วน "นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา" อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการทาบทาม
ส่วนจะมีการทาบทาม "นายวิษณุ เครืองาม" อดีตรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย หรือไม่นั้น ซึ่งกับนายวิษณุ ยังไม่มีโอกาสได้คุย แต่ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะคุย เพราะเป็นผู้รู้ เป็นคนที่เชี่ยวชาญในกฎหมายมากพอสมควร รวมถึงทั้งหลายคนที่เคยมีบทบาท ก็จะได้เอาความคิดเห็น หรือหากยังไม่มีโอกาสคุยเวลาที่มีประชุมก็สามารถปรึกษาหารือกันได้
สำหรับการเชิญคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ปี 60 มาร่วมด้วยหรือไม่นั้น ส่วนตัวยินดีต้อนรับทุกคน แต่ต้องคุยกันในรายละเอียดและกรอบแนวทางว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่า ได้มีการทาบทามตัวแทนพรรคก้าวไกลเข้าร่วมคณะกรรมการชุดดังกล่าวหรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า พรรคการเมืองตนพยายามเชิญมาร่วมให้มากที่สุด แต่มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณจำนวนคน เมื่อลิสต์รายชื่อ ก็เกิน 30 คน ใหญ่มากเกินไปก็ทำงานลำบาก แต่ถ้าไม่ได้เป็นคณะกรรมการ ก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วม พบปะพูดคุยแสดงความคิดเห็น
ส่วนงบประมาณในการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับประมาณเท่าไหร่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ในส่วนของการทำประชามติ ความตีความตามศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประมาณ 3-4 ครั้ง โดยจะใช้งบประมาณครั้งละ ประมาณ 3-4 พันล้านบาท แต่ตนคิดว่าอยู่ในแนวทางที่พูดคุยกันให้ชัดเจน ต้องอาศัยความคิดเห็นจากคณะกรรมการชุดดังกล่าว
"เราพยายามจะทำให้การทำประชามติน้อยครั้งที่สุด อันไหนสามารถควบรวมได้ก็จะทำ โดยยึดแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยไว้ และหากเราสามารถประหยัดงบประมาณได้มากที่สุดก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะหากทำครบ 3-4 ครั้งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะใช้งบประมาณสูงถึงหมื่นล้าน" นายภูมิธรรม กล่าว
เมื่อถามว่า มองเรื่องมาตรฐานจริยธรรมที่ลงโทษ นางสาวพรรณิการ์ วานิช ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตอย่างไรนั้น และพรรคก้าวไกลก็ออกมาระบุว่า ปัญหาอยู่ที่รัฐธรรมนูญ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อะไรที่เป็นประชาธิปไตยเราทำได้หมด เว้นการแก้ไขในหมวด 1 และ 2 ในแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นเราต้องดูว่า เจตจำนงค์ที่จะควบคุมดูแลนักการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องไปดูว่าไปละเมิด และมีความเที่ยงตรง ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งก็ต้องไปดูในรายละเอียด
เมื่อถามว่า ที่มีการวิจารณ์ว่ามาตรฐานจริยธรรมที่ออกโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ มาบังคับใช้กับ สส. อาจจะไม่ถูกหลัก หรือกรณีที่ศาลตัดสินว่าไม่ผิดแต่กลับผิดหลักจริยธรรมไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องดูเป็นรายกรณี แต่การอิงศาลรัฐธรรมนูญในเบื้องต้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แม้จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่อะไรที่เป็นปัญหามากเกินไป คนในกลุ่มวิชาชีพที่เราเชิญมา หรือรับฟังมา ก็จะเป็นคนให้ความเห็นเองว่า เรื่องไหนโอเค หรือเรื่องไหนต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอะไร ตนคิดว่า หากระดมความคิดเห็นได้กว้างขึ้น รัฐธรรมนูญก็จะไม่มีปัญหา เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และทุกฝ่ายต้องยอมรับ และผ่านให้ได้ และตนคิดว่าถ้ารัฐธรรมนูญผ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยในลำดับใด มันก็จะทำให้โอกาสและบรรยากาศของประเทศพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น