
23 กรกฎาคม 2566 "นายสันติ พร้อมพัฒน์" เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย"ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า" ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และนายไผ่ ลิคก์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวร่วมกันภายหลังได้รับเชิญจาก"พรรคเพื่อไทย" เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤต และทางออกของประเทศร่วมกันกับพรรคเพื่อไทยในวันนี้ (23 พ.ค.)
โดย"นายสันติ" ยอมรับว่า ในการหารือได้มีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างแน่วแน่ และเพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่ดีกินดีภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
"พรรคพลังประชารัฐ จึงได้แจ้งกับพรรคเพื่อไทยว่า พรรคการเมืองที่พรรคพลังประชารัฐจะร่วมงานได้นั้น จะต้องไม่มีแนวคิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 และหมวด 2 รวมถึงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งหากมีพรรคใดที่มีแนวคิดดังกล่าวร่วมอยู่ในรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล พรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่อาจร่วมงานด้วยได้ เนื่องจาก พรรคพลังประชารัฐ ตระหนักในระบอบการปกครองของประเทศที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจน"
ดังนั้น การจะไปแก้ไขหรือยกเลิก พรรคพลังประชารัฐ ไม่สามารถยอมรับได้ และขอให้พรรคเพื่อไทย พิจารณาดำเนินการเองหลังจากนี้เมื่อมีการพูดคุยกับทุกฝ่าย รวมถึงวุฒิสภาครบถ้วน
"นายสันติ" ยังระบุด้วยว่า จากการทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฯ ทำให้ทราบว่า พรรคการเมืองใด มีแนวคิดอย่างใด ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐ จึงมีความแน่วแน่ว่า ไม่สามารถทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลได้
ส่วนในการหารือกับพรรคเพื่อไทยได้มีการยืนยันถึงการเลือกนายกรัฐมนตรี ให้สำเร็จภายในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ด้วยหรือไม่นั้น "นายสันติ" มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจที่จะจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ซึ่งเห็นได้จาก การเร่งเชิญร่วมรัฐบาลชุดรักษาการปัจจุบันมาพูดคุยร่วมกัน เพื่อเร่งแก้วิกฤตในขณะนี้ ซึ่งในวันนี้ (23 ก.ค.) ก็เป็นการแสดงเจตจำนง และแสดงแนวคิดของพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่ "ร้อยเอกธรรมนัส" ย้ำด้วยว่า การหารือร่วมกับพรรคเพื่อไทยในวันนี้ (23 ก.ค.) เพื่อเป็นการหาทางออกให้ประเทศพ้นวิกฤตเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการหารือถึงการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน และยังไม่มีการเชิญพรรคพลังประชารัฐไปจัดตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด โดยย้ำหลักการว่า พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบาย และหลักการ ที่ไม่เหมือนบางพรรคการเมือง ดังนั้น หากจะต้องร่วมงานกับบางพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ต่างกัน พรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ขอร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด
ส่วนหากการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วยพรรคพลังประชารัฐสามารถร่วมรัฐบาลได้หรือไม่นั้น "ร้อยเอกธรรมนัส" ชี้แจงว่า พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายสำคัญในการก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งหากพรรคฯ ประเมินแล้วว่า การร่วมรัฐบาลแล้วจะเกิดความแตกแยก พรรคพลังประชารัฐก็จะไม่ร่วม
"ร้อยเอกธรรมนัส" ยังกล่าวถึงกรณีที่มักเกิดกระแสข่าวจะมีการเสนอชื่อพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้รัฐสภาพิจารณาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีว่า การจัดตั้งรัฐบาลนั้น จะต้องมี ส.ส.สนับสนุนเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 250 เสียงขึ้นไป ซึ่งหากเสียง ส.ส.ไม่เพีงพอ พรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ควรเสนอชื่อ เพราะจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมได้ และพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคฯ จนมีข้อสรุปแล้วว่า พรรคพลังประชารัฐจะไม่เสนอชื่อหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นนายกรัฐมนตรี หากมีเสียง ส.ส.สนับสนุนต่ำกว่า 250 เสียง
ส่วนกระแสข่าวที่พลเอกประวิตรฯ จะลาออกจากหัวหน้าพรรคฯ รวมไปถึงลาออก ส.ส.นั้น "ร้อยอกธรรมนัส" ระบุว่า กระแสข่าวดังกล่าว เป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และยังคงเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอยู่ ซึ่งการตัดสินใจในตำแหน่งต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
"ร้อยเอกธรรมนัส" ยังกล่าวถึงคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า จะต้องนำพาประเทศให้รอดพ้นปัญหา เพราะประเทศผ่านวิกฤตโควิดมาแล้ว ตอนนี้จึงเป็นโอกาสแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ดังนั้น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะต้องมีความพร้อมทุกอย่าง แก้ปัญหาในสังคม และพาเศรษฐกิจไทยให้รอด และพาบ้านเมืองก้าวข้ามความขัดแย้ง
ส่วนกรณีที่มีมวลชนออกมาต่อต่านการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยนั้น "ร้อยเอกธรรมนัส" มองว่า เป็นเรื่องปกติของการจัดตั้งรัฐบาล แต่เชื่อว่า เมื่อประเทศมีผู้นำคนใหม่แล้ว จะสามารถพิสูจน์ฝีมือในการนำพาประเทศชาติบ้านเมือง และแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม ในการหารือร่วมกับพรรคเพื่อไทย ในฝั่งพรรคพลังประชารัฐนั้น "พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้เดินทางไปร่วมพูดคุยกับแกนนำพรรคเพื่อไทยด้วย
ทั้งนี้ การแถลงข่าวของพรรคพลังประชารัฐ ภายหลังการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤต และทางออกของประเทศร่วมกันกับพรรคเพื่อไทย ที่พรรคเพื่อไทยเสร็จสิ้น ต้องย้ายสถานที่แถลงมาที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจาก กลุ่มเยาวชนทะลุวัง ได้มาถือป้ายประท้วงพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเจรจาดังกล่าว จนทำให้พรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ ต้องแยกการแถลงข่าวภายหลังการหารือ