ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็น สส. ของ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไล ในกรณีการถือครองหุ้นไอทีวี และขอให้มีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ เหมือนแผ่นดินไหวในใจ "ด้อมส้ม" เกิดอาฟเตอร์ช็อกทันที พรรคก้าวไกล ได้ออกแถลงการณ์ซัดกกต.มีเหตุผลอะไรรีบสรุปส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทั้งที่ไม่เคยเรียก นายพิธา ไปชี้ ด้าน นายอานนท์ อำภา แกนนำกลุ่มสามนิ้ว กวักมือพลพรรคออกมาชุมนุมวันนี้( 12 ก.ค.) 18.00 น.
ย้อนรอยนิติสงครามถล่ม "พิธา" ตั้งแต่ปี 2566
สำหรับ 4 เสียงประกอบด้วย
ส่วน 1 เสียง ที่ไม่เห็นด้วย คือ ปกรณ์ มหรรณพ
"ไอทีวี" ยังเป็นสื่อมวลชน หรือไม่?
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์การประกอบธุรกิจของไอทีวี ที่จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2541 แจ้งวัตถุประสงค์ 45 ข้อ และเกี่ยวข้องกับสื่อ 5 ข้อ โดยไอทีวียังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มวัตถุประสงค์แต่อย่างใด จนถึงปัจจุบัน
ไอทีวีได้หยุดออกอากาศ หลังจากที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) มีหนังสือไปยัง บริษัท ไอทีวี จำกัด เพื่อบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ UHF (สัญญาเข้าร่วมงานฯ) พร้อมให้ระงับการออกอากาศมีผล วันที่ 7 มี.ค. 2550
ไอทีวียังดำเนินกิจการอยู่
ขณะที่ "ทศพล ทังสุบุตร" อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุก่อนหน้านี้ว่า สถานะของ บมจ.ไอทีวี ปัจจุบัน "ยังดำเนินกิจการอยู่" ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสถานะอื่นใด เช่น จดทะเบียนเลิก พิทักษ์ทรัพย์ ล้มละลาย หรือถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน เป็นต้น
เมื่อสถานะ "ยังดำเนินกิจการอยู่" นิติบุคคลได้ถูกจัดตั้ง ยังมีตัวตนอยู่ตามกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่า นิติบุคคลนั้นมีการทำกิจการ หรือประกอบกิจการทางการค้าใดในความเป็นจริงอยู่หรือไม่ หากมีการประกอบกิจการในลักษณะใด จะแสดงข้อมูลผลการดำเนินการและฐานะการเงินในงบการเงินนั้น หากเปรียบเทียบกับสถานะของบุคคล เปรียบเสมือนบุคคลที่เกิดและยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี ได้รายงานไว้ในงบการเงิน เกี่ยวกับรายได้ของไอทีวีในปี 2564 จำนวน 23,683,771 บาท เป็นรายได้จากการดำเนินธุรกิจ มาจากผลตอบแทนมาจากเงินลงทุนและดอกเบี้ย ไม่มีรายรายได้จากการดำเนินธุรกิจสื่อ หรือกิจการอื่นใดปรากฏอยู่ในงบการเงินของบริษัท
ทั้งนี้ รายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ในวาระที่ 8.3 มีรายงานผลการพิจารณาเพื่อการลงทุนและหาทางเลือกในการดำเนินกิจการของบริษัทต่อไปและมีการประชุม เพื่อวางแผนการลงทุนในฐานะสื่อมาตั้งแต่ปี 2559 โดยไอทีวีได้ดําเนินการศึกษาและวิเคราะห์โครงสร้างการลงทุน และได้รับข้อเสนอจากบริษัทหนึ่ง ซึ่งประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิทัล แต่เมื่อบริษัทได้วิเคราะห์ถึงสภาพตลาด การแข่งขัน และข้อดีข้อเสียของการเข้าลงทุนตามข้อเสนอของบริษัทเป้าหมาย โดยรอบคอบแล้ว บริษัทไม่สามารถตอบรับข้อเสนอทางธุรกิจของบริษัทเป้าหมายได้
นอกจากนี้ ในรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทไอทีวี ครั้งที่ 4/2560 เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2560 บลจ.ภัทร ได้นําเสนอบริษัท เป้าหมายจํานวน 3 ราย ให้แก่คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอย่างเป็นทางการ พร้อมรายงานวิเคราะห์รูปแบบธุรกิจและแนวโน้มของผลประกอบการในอนาคต ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทเป้าหมายที่ บลจ. ภัทร นําเสนอทั้ง 3 รายนั้น ตรงกับกรอบการลงทุนที่บริษัทได้กําหนดไว้ จึงมีมติเห็นชอบให้บลจ.ภัทร ดําเนินการนัดหมายเพื่อเจรจาการ ร่วมลงทุน แต่การเจรจากับบริษัททั้ง 3 รายไม่บรรลุผล เพราะไอทีวียังมีคดีความคงค้างกับ สปน.
ทัศนะทางกฎหมายของฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายสนับสนุน ระบุว่า "พิธา" มีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกเท่านั้น และไอทีวีก็ไม่ได้ดำเนินกิจการสื่อมาตั้งแต่ปี 2550 จึงไม่เข้าข่ายการถือหุ้นสื่อ
ฝ่ายตรงข้าม เห็นว่า การอ้างว่าเป็นหุ้นมรดก เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ทำตามกรอบระยะเวลาของกฎหมาย ในการเป็นผู้จัดการมรดก เพราะ "พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์" บิดา "พิธา" เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2549 นับระยะเวลาจนถึงปัจจุบัน 17 ปี เป็นระยะอันสมควรที่ "พิธา" ในฐานะผู้จัดการมรดก ต้องดำเนินการจัดการกองทรัพย์มรดกจนแล้วเสร็จมาหลาย 10 ปี
ด้าน ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษา เห็นว่าการที่ "พิธา" โอนหุ้นให้ "ภาษิณ" ถ้า "พิธา" โอนในฐานะผู้จัดการมรดก ต้องระบุไว้ในหลักฐานการโอนว่า "พิธา" ในฐานะผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล ผู้โอน "ภาษิณ" ผู้รับโอน แต่ตามหลักฐานที่ "เรืองไกร" นำมาเปิดเผยระบุเพียงว่า "พิธา" ผู้โอน/ฝาก "ภาษิณ" ผู้รับโอน/ฝาก เท่านั้น
เมื่อหลักฐานเป็นเช่นนี้จึงต้องฟังว่า หุ้นดังกล่าวเป็นของ "พิธา" ไม่ใช่เป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ทั้งนี้ แม้จะฟังว่าหุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง "พิธา" ในฐานะทายาทของผู้เสีย ก็มีสิทธิ์ได้รับทรัพย์มรดกหุ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งที่ตกมาเป็นของ "พิธา" ตั้งแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 ม.ค. เวลา 12.45 น. โดย "พิธา" จะเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีหุ้นไอทีวีด้วยตัวเอง เมื่อผลสุดท้ายต้องจบด้วยศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องมาลุ้นกันว่าคำตอบเรื่องนี้จะออกมาเป็นอย่างไร