27 พฤษภาคม 2566 นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการแย่งตำแหน่งประธานรัฐสภา ระหว่างพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย ว่า การแย่งตำแหน่งประธานสภา จะไม่เกิดประโยชน์โดยตรงกับประชาชน ถ้าหากการเจรจาระหว่างสองพรรคไม่เกิดขึ้น จึงต้องตั้งวงเจรจากันให้จบให้ได้โดยเร็ว ในฐานะที่ทำงานการเมืองมานาน มองว่าการจะทำงานใหญ่ให้สำเร็จ เพื่อให้บรรลุเป้าตามเจตนารมณ์ของประชาชน ต้องมีผู้เสียสละในเรื่องนี้
"ประชาชนตั้งความหวังไว้กับพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล จากคะแนนเสียงที่เป็นฉันทามติ ถึงที่สุดหากทั้งสองพรรคไม่สามารถตกลงกันได้ สมควรโดนประชาชนลงโทษ เพราะให้โอกาสแล้วแต่ยังทำไม่ได้ จึงไม่ควรจะมาแย่งกันในตำแหน่งกันแบบนี้ ตำแหน่งประธานสภาที่จริงต้องวางตัวเป็นกลาง เชื่อว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องห่ำหั่นกันเอง ตำแหน่งประธานสภาไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น ทุกพรรคมาสามารถเสนอแก้ไขกฎหมายได้หมด ถ้ายังใช้ตำแหน่งมาเป็นเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาล ผมมองว่าไม่คุ้ม ขาดวิสัยทัศน์ผมรับไม่ได้ อย่าลืมว่าประชาชนรออยู่ที่จะให้นักการเมืองเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้อง นี่คือสาระสำคัญ" นายพิเชษฐ กล่าว
นายพิเชษฐ กล่าอีกว่า เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคน่าจะมีทางออกร่วมกันได้ จะเห็นว่าก้าวไกล ดึงดันที่จะอยากได้ตำแหน่งประธานสภามาครอบครอง แต่ถ้าการเจรจาไม่เป็นผลก้าวไกลอาจจต้องเป็นฝ่ายถอยไปเอง ส่วนคุณสมบัติของตำแหน่งประธานสภา ที่จริงต้องเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ มีวุฒิภาวะที่ดี แต่ถ้าหากพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งนี้ไป ก็ใช่ว่าจะไม่ดี เพราะคนในพรรคก้าวไกลหลายคนมีคุณสมบัติที่จะเป็นได้
ส่วนตัวมองว่าไม่ว่าพรรคไหนก็ตามที่ได้ตำแหน่งนี้ไปไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะใครก็ได้ไม่ว่าจะเพื่อไทยหรือก้าวไกล แต่ปัญหาหลักคือประชาชน จับตามองอยู่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะสำเร็จหรือไม่
ส่วนแนวโน้มที่พรรคก้าวไกลจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่นั้น มองว่าเกี่ยวข้องกับ ส.ว. เป็นหลัก แม้ว่าในMOU จะไม่มีเรื่องแก้ไขมาตรา112 ก็จริง แต่หากก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลและได้ตำแหน่งประธานสภาไปจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อแน่นอนในชั้นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่าประเทศต้องเดินหน้าต่อไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาปกครองประเทศ เชื่อว่าไม่เสียหายหลายประเทศในยุโรปก็มีผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่ หากยังแก้ปัญหาเรื่องตำแหน่งประธานสภาไม่ได้ ปัญหาใหญ่ ๆ ในบ้านเมืองอีกมากมายที่รอการแก้ไขคงจะลำบากไปด้วย
นายพิเชษฐ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีความโปร่งใสของกกต. ต่อผลการเลือกตั้ง หลังสามพรรคเล็ก (พรรคพลัง พรรคเพื่อชาติไทย พรรคแรงงานสร้างชาติ) ยื่นหนังสือท้วงติง และยื่นศาลปกครองสูงสุดให้วินิจฉัย จนกลายเป็นประเด็นร้อน นั้น ตนเกาะติดเรื่องนี้มาโดยตลอด การปิดบังซ่อนเร้นของเว็ปของ กกต. เมื่อวันศุกร์ที่ 19 พ.ค. แต่กลับเปิดอีกที วันพุธที่ 24 พ.ค. น่าจะมีวัตถุประสงค์ปิดบังอะไรบางอย่าง เพราะตัวเลขคะแนนหายไป และมีการเอื้อคะแนนให้พรรคใหญ่ เท่าที่ตนทราบมา นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล หัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย มีข้อมูลเด็ดอยู่ ไม่งั้นคงไม่กล้าไปยื่นร้องกับศาลปกครองเพื่อขอให้การคุ้มครอง
"มั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่จบง่าย ๆ ผมจะเกาะติดต่อไปเพื่อให้ได้ข้อสรุป เพราะเป็นสิ่งที่ 3 พรรคเล็กได้รับผลกระทบมากพอสมควร และยังอาจจะส่งผลกระทบไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลอีกด้วย หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่ศาลจะไม่รับไปสืบสวน สุดท้ายศาลปกครองจะเป็นผู้พิสูจน์ความน่าเชื่อถือของตัวเองและให้ความยุติธรรมกับประชาชน" นายพิเชษฐ ระบุทิ้งท้าย
สำหรับ พรรคเล็กที่เตรียมยื่นฟ้องศาลปกรอง ประกอบด้วย
1. นายลิขสิทธิ์ ใสกระจ่าง หัวหน้าพรรคพลัง
2. นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล หัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย
3. นายมนัส โกศล หัวหน้าพรรคแรงงานสร้างชาติ
โดยทั้ง 3 พรรค เชื่อว่ากกต.มีการรวมคะแนน และคำนวณจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคได้รับมีความผิดปกติ ไม่โปร่งใส เนื่องจากพบว่ามีการบวกเพิ่มจำนวนบัตรดีจำนวน 507,277 คะแนนเข้าไปซึ่งเกินความจริงไปจำนวน 297,149 คะแนน เอื้อประโยชน์ต่อพรรคใหญ่หรือไม่ ทั้งที่ความจริงต้องบวกเพิ่มแค่ 210,128 คะแนน เท่านั้น
นอกจากนี้ 4 พรรคที่ต้องได้ ส.ส. คือ
พรรคพลังประชารัฐ เพิ่ม 1 ที่นั่ง
พรรคพลัง เพิ่ม 1 ที่นั่ง
พรรคเพื่อชาติไทย เพิ่ม 1 ที่นั่ง
พรรคแรงงานสร้างชาติ ได้เพิ่ม 1 ที่นั่ง
แต่กลับเสียโอกาสไปเพราะความพิศดารของกกต. ที่บวกเพิ่มจำนวนบัตรดีเกินจริงไป 297,149 คะแนน