
เหลืออีกไม่กี่วัน ไม่มีใครจะสามารถทำนายหรือใช้สถิติต่างๆที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด เนื่องจากสังคมและบรรยากาศการเมืองของไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว พร้อมกับโลกที่เปลี่ยนไป
ผมเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมทางซูม เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมกับผู้แทนส่วนหนึ่งของชาวไทยในสหรัฐ และชาวอเมริกันทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งเป็นผู้ติดตามการเมืองและการเลือกตั้งครั้งนี้โดยใกล้ชิดมาตลอด
ตอนประชุมซูม เราสรุปกันว่าการเลือกตั้งของไทยครั้งนี้อาจเป็น "Skyfall ฟ้าถล่ม" แทนที่จะเป็นเเลนด์สไลด์ ก้าวไกลอาจได้ 160 ที่นั่งที่กล้าแถลงไว้จริง เพราะพลังของโซเชียลมีเดียที่เหลือในช่วงสุดท้าย โดยหัวคะแนนธรรมชาติทั้งในและนอกประเทศ ช่วยกันกระจายข่าวสาร
นอกประเทศ หมายถึงชาวไทยที่อยู่ต่างประเทศมีกลุ่มติดตามทางโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก และชาวต่างประเทศที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารส่งต่อคลิปต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อพรรคที่ตนเองชอบ ซึ่งเรื่องนี้ก้าวไกลได้เปรียบ
ปีหน้านี้ไต้หวันจะมีการเลือกตั้ง 13 มกราคม และอินโดนีเซีย 14 กุมภาพันธ์ จึงเป็นไปได้ว่ามีการประสานงานกันหรือเชื่อมต่อสมัครเล่นในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวที่คล่องแคล่วเรื่องโซเชียลมีเดีย และอยากเห็นผลการเลือกตั้งของไทยออกมาในเชิงประชาธิปไตยเต็มใบ
สามวันในโซเชียลมีเดียอาจหมายถึงสามเดือนในการหาเสียงแบบเดิมและจะเป็นประวัติศาสตร์การเปลี่ยนยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการหาเสียง ในการเลือกตั้งในระยะยาว
บทสรุปคร่าวๆจากการสนทนาในการประชุมคือ เช้าวันที่ 15 พฤษภาคม พอจะรู้ทางแล้วประมาณ 90% ว่าใครจะได้เป็น"นายกฯคนที่ 30" ส่วน 10% ที่เหลือนั้นสงวนไว้เพื่ออุบัติเหตุซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตามยุคสมัย
นายกคนใหม่น่าจะเป็นหนึ่งในสี่นี้
** ประยุทธ์** (โอกาส 30%) ;
แชมป์เก่าย่อมได้เปรียบ ถึงแม้เวลาที่ผ่านมาทำให้คนมีความเบื่อและอยากเปลี่ยน อายุท่านจะสูง เป็นผู้นำที่มีบุคลิกอารมณ์ฉุนเฉียว เคอะเขินกับความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป ความจำเป็นบังคับให้แสดงความเอ็นดูน่ารักและเป็นกันเองมากขึ้นในช่วงการเลือกตั้ง ได้ผลพอสมควรสังเกตจากการตอบสนองของประชาชนในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้
จุดแข็งของท่านคือประสบการณ์ และบารมี ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเทียบแล้วกับคนอื่น เห็นว่าท่านทำงานหนัก มีผลงาน ดุและกร้าวเพราะความจำเป็น เป็นผู้นำชั่วคราวที่เข้ามากู้ประเทศในช่วงวิกฤติ รวมทั้งแผนเชิงลึกการเป็นนายกต่ออีกของทีมงานท่านประยุทธที่วางไว้มานาน อาจ surpriseหลายคน
การออกโฆษณาช่วงสุดท้ายซึ่งเน้นความกลัว เนื้อหาเป็นการเปรียบเทียบว่า"เสรีนิยม"จะทำลายสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เช่น ข้าราชการเกษียณนั่งขอทานที่สะพานลอย ไม่มีทหารรักษาพรมแดนเมื่อประเทศโดนรุกราน เด็กสมัยใหม่เสียหายเรื่องเพศ หิ้งพระของสูงว่างเปล่าเป็นต้น ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นแฟนคลับให้ออกมาลงคะแนนเสียง อากาศร้อนและความวุ่นวายของบรรยากาศการเมืองอาจทำให้ผู้อาวุโสหลายคนท้อแท้และตัดสินใจไม่ออกมาเลือกตั้งในที่สุด แต่การโฆษณาอย่างนี้อาจทำให้หลายคนโดนเตือนใจว่า"ทีมประยุทธ์"มีความคิดล้าหลัง
**ประวิตร** (โอกาส 30%) ;
ความมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาล"โดยพร้อมร่วมกับทุกฝ่าย" เป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบรักษาอำนาจและผลประโยชน์ที่ยังไม่ล้าสมัย อาจได้ผลอยู่ พรรคการเมืองอื่นที่มองพรรคประชารัฐว่าเป็นรัฐบาลเดิม โครงการที่ทำไว้ต่างๆคงต่อเนื่องได้ เช่นภูมิใจไทยอาจต้องพึ่งท่านประวิตรเพื่อเป็นรัฐบาลต่อไป ทีมอนุทินต้องการรักษาผลประโยชน์เพื่อตั้งตัวในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และป้องกันอันตรายที่จะพุ่งเข้ามาหาหากเป็นฝ่ายค้าน และยอมเป็นหมายเลขสองในคณะรัฐมนตรี
อาวุธสำคัญที่สุดของพลังประชารัฐคือ"วุฒิสมาชิก" ที่น่าจะให้ความสนับสนุนเต็มที่ ท่านประยุทธอาจยอมให้ท่านประวิตรเป็นนายกและตนเองเป็นหมายเลขสองและคุมกลาโหม เป็นต้น ตัวแปรที่ทำให้พลังประชารัฐมีโอกาสมากคือความยินยอมโดยภูมิใจไทยและรวมไทยรักษาชาติ
**พิธา** (โอกาส 30%) ; The first social-media elected of Thailand
เมื่อเดือนมีนาคมโอกาสมีเพียงต่ำกว่า 10% แต่กระแสปัจจุบันมาแรงมาก พรรคนี้กลายเป็นเสรีนิยมพันธุ์แท้ และโอกาสอาจเกิน 30% ในวันสุดท้าย โครงสร้างของประชากรซึ่งคนในวัยหนุ่มสาวและคนวัยกลางคนที่ไม่เอาอนุรักษ์นิยมแล้ว หรือครั้งนี้กระแสที่ไม่เคยมีมาก่อนคือคำว่า"ลงคะแนนเสียงเพื่อลูก หรือลูกขอร้องให้พ่อแม่เลือกก้าวไกลเป็นของขวัญสำหรับอนาคตของเขา"
"ก้าวไกล"มี The Cool Factor ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก ความเก๋ไก๋และความนิยมเป็นสิ่งที่สร้างไม่ได้ แต่เมื่อว่าวติดลมแล้ว ทุกอย่างก็ดูดีไปหมด
แม้จะดูเหมือนขาดทรัพยากรหลายอย่าง แต่ก้าวไกลใช้โซเชียลมีเดียทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยคาราวานมาจากทุกทิศเข้าเมืองหลวง หัวคะแนนธรรมชาติถล่มพื้นที่ในโซเชียลมีเดียมากกว่าทุกพรรค และความเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงอย่างจริงจัง ประชาชนไม่มีข้อกังขาเรื่องกลุ่มนี้จะคอรัปชั่น แม้ว่าพิธาจะดูเหมือนเป็น Pop Culture แต่ความนิยมนี้ไม่จำกัดแค่บุคคลคนเดียว และก้าวไกลมีผู้นำหลายคนเป็นตัวแทนกันได้หากเกิดอุบัติเหตุ
เนื่องจากมีประสบการณ์โดนยุบพรรคและต้องตั้งตัวใหม่ แฟนคลับเห็นถึงความมุ่งมั่นต่อสู้ ม้ารองจึงแทบจะกลายเป็นม้านำ ความนิยมมาแรงทำให้เกิดการโจมตีในโซเชียลมีเดียต่างๆโดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์นิยม
ความชัดเจนของนโยบายและความมั่นใจในทิศทางที่จะขออาสาเข้าไปแก้ไขนั้น ถูกมองจากประชาชนที่ชอบเสรีนิยมหรืออยู่ตรงกลางว่าเป็นความกล้าหาญ แม้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะปักใจว่ากลุ่มนี้ไร้ประสบการณ์และจะมาทำลายสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่คะแนนเสียงของอนุรักษ์นิยมอาจไม่เพียงพอที่จะต้านกระแสนี้
"Change" เป็นสโลแกนที่ได้ผลมาแล้วเบิกปีค.ศ. 2008 ทำให้ Obama ได้เป็นประธานาธิบดีอเมริกัน
ข้อสำคัญที่สุดของก้าวไกลคือ "การรักษาโมเมนตัม" หากกลุ่มแฟนคลับของก้าวไกลไปเลือกตั้งกว่า 70% โอกาสของพิธามีสูงมาก
**ม้ามืด** (โอกาส 10%)
เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ วัฒนธรรมไทยนั้นเมื่อวุ่นวายระยะหนึ่งก็มักจะลงเอยด้วยดีในที่สุด หลายคนคิดว่ายังต้องเผื่อใจไว้ว่าอาจมีการแต่งตั้งนายกแบบประนีประนอม โดยเฉพาะหากยืดเยื้อและเสียหายทางเศรษฐกิจหรือเขย่าความมั่นคงลากยาวไปถึงเดือนตุลาคม
อาจมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย ผู้นำอาจมาจากพรรคการเมืองเล็กๆจากการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือการแต่งตั้งจากที่สูง
** หมายเหตุ **
ส่วนทั้งสามแคนดิเดตของ"พรรคเพื่อไทย"นั้น แม้หลายคนคิดว่าน่าจะมีเสียงในสภากว่า 100 เสียงทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ แต่เพื่อไทยเป็นเสรีนิยมที่ไม่เก๋ (not cool anymore) อีกต่อไป หลายคนสรุปว่าพรรคเพื่อไทยที่แท้จริงก็คือเป็น"พรรคอนุรักษ์นิยม" แต่เนื่องจากอยู่ฝ่ายค้าน จึงอิงนโยบายประชานิยมและประชาธิปไตย
The Tony Factor กลายเป็นตัวแปรในโค้งสุดท้ายในทางลบ การที่ประกาศขออนุญาตกลับมาเลี้ยงหลานในเดือนกรกฎาคมนั้น เป็นเหมือนการันตีความโกลาหลในประเทศ เพราะคนรักโทนี่เท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ ลูกสาวคุณโทนี่จะเป็นนายกก็เหมือนรื้อฟื้นความจำของคุณยิ่งลักษณ์ กลายเป็นผลประโยชน์ของครอบครัวมากกว่าประเทศชาติ คุณเศรษฐาเป็นนักธุรกิจที่เก่ง แต่ดูเหมือนสะบักสะบอมกับเวทีการเมือง ส่วนท่านที่สามไม่มีใครรู้จัก
"คุณอนุทิน"ของพรรคภูมิใจไทยยังมีโอกาสแต่น้อยมาก เนื่องจากก่อนยุบสภามีกระแสของสังคมลากดึงเรื่องกัญชา และเรื่องอื้อฉาวในกระทรวงคมนาคม จนยากที่จะกู้ความนิยมกลับคืนมาทันเวลา