8 พฤษภาคม 2566 ( วานนี้ 7 พ.ค. 66 ) พรรคก้าวไกลเปิดปราศรัยที่สวนประตูเมือง (สวนเรืองแสง) จ.ขอนแก่น ปิยบุตร แสงกนกกุล และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลขึ้นปราศรัยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล
โดยปิยบุตร กล่าวว่า ถ้าไม่อยากให้ปัญหาในประเทศไทยเป็นแบบที่เคยเป็นมาในอดีตต้องเลือกพรรคก้าวไกลที่มีความสดใหม่และกล้าหาญ พอแล้วกับรัฐมนตรีหน้าเดิมๆ ที่ย้ายพรรคไปมา นโยบายพรรคก้าวไกลเท่านั้นที่จะผ่าตัดใหญ่ประเทศไทย พร้อมยกตัวอย่างนโยบายสวัสดิการที่จะรองรับชีวิตคนไทยทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เหมือนนโยบายเติมเงินที่เมื่อใช้เงินหมดก็กลับไปจนเหมือนเดิม
ในช่วงหนึ่ง ปิยบุตร กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องเปลี่ยนประเทศไทยด้วย ซึ่งพรรคก้าวไกลวันนี้มีความพร้อม เพราะได้ไปรับฟังปัญหาของประชาชนทั่วประเทศ กลั่นออกมาเป็นนโยบาย 300 เรื่อง เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่กล้าหาญประกาศนโยบายมากขนาดนี้
พร้อมทำงานให้กับประชาชนทุกคน ทุกประเด็นปัญหา และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล้าประกาศต่อประชาชนว่าภายใน 100 วันแรก ภายใน 1 ปี และภายใน 1 สมัย โรดแมปรัฐบาลก้าวไกลจะทำอะไรบ้าง รวมถึงกล้าประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ถ้ามีประยุทธ์ ประวิตร พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ก็ไม่มีก้าวไกล แต่ถ้าอยากได้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ประชาชนก็ต้องเลือกพรรคก้าวไกลให้ถล่มทลาย
นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลยังมีความพร้อมเรื่องความสดใหม่ พรรคการเมืองต่างๆ เป็นนักการเมืองที่เป็นระดับนำทั้งหลายต่างก็เคยเป็นรัฐมนตรีเคยบริหารประเทศกันมาแล้ว เหลือแค่พรรคเดียวที่ยังไม่เคยบริหารประเทศคือพรรคก้าวไกล ถ้าประชาชนบอกว่าปัญหาในประเทศไทย 10 ปี 20 ปี 30 ปี ยังเป็นอยู่แบบเดิม แล้วถ้ายังเลือกแบบเดิม ถ้าเอาคนเดิมมาเป็นเขาก็จะคิดแบบเดิมๆ และทำแบบเดิมๆ ถ้าบ้านเมืองต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ต้องเอาคนใหม่ๆ เข้าไปบริหารประเทศ เพราะคนเหล่านี้ไม่มีข้อจำกัดใด กล้าหาญกล้าคิดกล้าลงมือทำ นี่คือความพร้อมของพรรคก้าวไกล
ถึงกระนั้นก็ดีด้วยความที่พรรคก้าวไกล เป็นพรรคการเมืองใหม่ ก็มีพรรคการเมืองอื่นมาบอกว่า นี่เป็นจุดอ่อน เพราะไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยบริหารประเทศ บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ไม่ใช่เวลาให้คนใหม่ๆ มาลองของ นายปิยบุตร บอกว่า พรรคการเมืองต่างๆ ที่เคยเป็นรัฐบาลจำเป็นต้องมีครั้งแรก และในวันที่พรรคการเมืองที่โจมตีพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลครั้งแรก พรรคการเมืองนั้นก็ขายตนเองว่า ด้วยความสดใหม่ บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ไฉนวันนี้กลับบอกว่า ต้องการประสบการณ์
"ถ้าประสบการณ์หมายถึงรัฐมนตรีที่มีการทุจริตคอรัปชั่น หมายถึงคนที่จ้องจะมาเป็นรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัยไม่ดูอุดมการณ์ความคิดกระโดดข้ามย้ายพรรคไปมาหวังจะเป็นรัฐมนตรีอย่างเดียว พรรคก้าวไกลไม่เอาประสบการณ์แบบนี้ แล้วถ้าจะบอกว่าประสบการณ์หมายความว่า ต้องเป็นคนอย่างพวกพี่ๆ เท่านั้นที่เคยบริหารประเทศมา พรรคก้าวไกลบอกประสบการณ์แบบที่รัฐมนตรีเป็นคนหน้าตาเดิมๆมา 20-30 ปี เราไม่เอาแบบนี้ ถ้าจะขายประสบการณ์แบบนี้เดี๋ยวเจอความสดใหม่แบบพรรคก้าวไกลแล้วจะได้รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยทำกันอย่างไร ชุดความคิดแบบเดิม ประสบการณ์แบบเดิม ทำให้พวกเขาย่ำรอยเท้าแบบเดิมๆ มาตลอดไม่คิดเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเราต้องการความเปลี่ยนแปลงต้องใช้ความกล้าหาญ ใช้ประสบการณ์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ความกล้าหาญ มุ่งมั่น เจตจำนงที่จะเปลี่ยนแปลงให้ประเทศนี้ดีขึ้น" นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า บุคลากรของพรรคก้าวไกลก็ไม่ใช่ไม่มีประสบการณ์ แต่ผ่านการบริหารธุรกิจ ผ่านการศึกษา ผ่านการจัดทำนโยบายมาแล้วทั้งสิ้น 4 ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลคือ พรรคที่อภิปรายดีที่สุดในสภา เมื่อรับบทบาทฝ่ายค้านก็ทำเต็มที่ไม่มวยล้มต้องคนดูลูบหน้าปะจมูก และเมื่อเลือกตั้งใหม่ก็ขอโอกาสประชาชนเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ตั้งพรรคมาเพื่อจ้องจะเป็นรัฐบาลเพียงอย่างเดียว นี่คือหน้าที่ของพรรคการเมือง
เมื่อดูไปที่ 300 นโยบายพรรคก้าวไกล วิธีคิดพื้นฐานมาจากความต้องการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ แทนที่จะเอายอดสามเหลี่ยมของคนไม่กี่คนไปอยู่ข้างบน แล้วเอาทรัพยากร เอาเงิน เอาอำนาจ ไปไว้กับประชาชนคนส่วนใหญ่ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ และด้วยวิธีคิดแบบนี้ทำให้พรรคก้าวไกลต้องจัดทำนโยบายในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่นโยบายประเภทแจกยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว แต่ต้องเป็นนโยบายผ่าตัดใหญ่ประเทศไทย ให้กลับมามีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์
ตัวอย่างเช่น สวัสดิการพื้นฐาน และเป็นพรรคเดียวที่ประกาศว่า จะทำสวัสดิการพื้นฐานแบบครบวงจรจริงๆ เพื่อทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเสมอภาคเท่าเทียม จากการที่นัดลงทุนเอาเงินงบประมาณมาจัดทำสวัสดิการพื้นฐานให้ประชาชน การใช้เงิน 5-6 แสนล้านบาทต่อปีอาจดูเยอะ แต่ถ้าเอามาสร้างสวัสดิการพื้นฐานให้พี่น้องประชาชนทุกคนดำรงชีวิตได้อย่างดีตั้งแต่เกิดจนถึงตาย อย่างนี้คือนโยบายที่ดี
"นโยบายสวัสดิการพื้นฐานฟังดูแล้วเข้าใจยาก ไม่เหมือนนโยบายแบบแจกเงินใส่กระเป๋า ให้ทุกคนมีเงินเพิ่มไปใช้ซื้อของ แต่เมื่อซื้อของแล้วเงินก็ตกไปอยู่ในมือของนายทุน สินค้าต่างๆก็เป็นของนายทุน สรุปว่า คือการเอาเงินเพิ่มให้เราใส่กระเป๋า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจมันหมุน แต่เมื่อเราใช้เงินนี้หมดเราก็กลับมาจนเหมือนเดิม เมื่อเราใช้เงินก้อนที่รัฐบาลแจกให้หมดเราก็กลับมาลำบากเหมือนเดิม นโยบายการแจกเงินเติมเงินใส่กระเป๋ามันดีไหมดีครับ ผมไม่เถียงดีแน่นอน แต่มันไม่เพียงพอ มันเป็นเพียงการให้ยาแก้ปวด ดังนั้นถ้าเทียบการเอาเงินจำนวนพอๆ กันหรือมากกว่านิดหน่อยเ มาทำสวัสดิการพื้นฐานเนี่ยฟังดูแล้วอาจไม่หวือหวา ไม่เซ็กซี่ แต่สวัสดิการพื้นฐานคือ หลักประกันขั้นพื้นฐานว่าพี่น้องประชาชนเมื่อเกิดมาบนแผ่นดินไทยแล้ว จะไม่ตกระกำลำบากอย่างน้อย มีสวัสดิการพื้นฐานขั้นต่ำรองรับเอาไว้ตั้งแต่เกิดจนตาย" นายปิยบุตร กล่าว
นอกจากนี้ ปิยบุตร กล่าวยกตัวอย่างปัญหานโยบายปฏิรูปที่ดินว่าการแก้ปัญหาแบบยาแก้ปวดคือการเรียกมาคุยเป็นครั้งๆ เพื่ออนุโลมให้ทำกินบนที่ดิน แต่พรรคก้าวไกลจะผ่าตัดโดยการตั้งกองทุนพิสูจน์สิทธิเลย ไม่ต้องเข้าๆ ออกๆ ไม่ต้องถูกขับไล่ เปลี่ยน สปก.เป็นโฉนดที่ดินให้ประชาชนได้โฉนดที่ดินเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เช่นเดียวกันกับการที่ต้องไม่ปล่อยให้เจ้าของที่ดินไม่กี่ตระกูลถือครองที่ดินขนาดใหญ่แต่กลับปล่อยให้คนอีกจำนวนมากยังไม่มีที่ดินทำกิน พรรคก้าวไกลจะผ่าตัดใหญ่ ปฏิรูปที่ดิน ที่จะทำให้เสร็จในการเป็นรัฐบาลรอบนี้
ส่วนเรื่องงบประมาณ พรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนจากการแก้ปัญหายาแก้ปวดแบบจัดสรรงบประมาณโดยให้ ส.ส.แย่งงบประมาณลงจังหวัดตัวเองเป็นครั้งๆ แต่พรรคก้าวไกลจะแก้ปัญหาแบบผ่าตัดใหญ่ กระจายอำนาจ เอางาน เอาเงิน เอาอำนาจไปไว้ที่จังหวัด ให้คนในจังหวัดจัดการกันเอง
ปัญหาค่าไฟ ถ้าแก้ปัญหาแบบกินยาแก้ปวดคือ การเอางบประมาณแผ่นดินไปอุดหนุนให้ค่าไฟลดเป็นครั้งๆ แต่นโยบายผ่าตัดใหญ่แบบก้าวไกล คือ การเข้าไปชน ไปคุย ไปเจรจากับนายทุนผูกขาดพลังงานที่เป็นต้นเหตุปัญหาค่าไฟแพง ให้คนไทยใช้ค่าไฟถูกไปตลอดกาล
"นี่คือการแก้ปัญหาแบบก้าวไกล ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล พอกันทีกับการแก้ปัญหาแบบยาแก้ปวด ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ และไม่ต้องกังวล เพราะพรรคก้าวไกลไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณใครนอกจากเป็นหนี้บุญคุณประชาชน" นายปิยบุตร กล่าว
ด้าน ธนาธร ปราศรัยระบุว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จำนวน ส.ส. พรรคก้าวไกลจะเป็นตัวกำหนดอนาคต ว่าประเทศไทยจะได้แก้ไขปัญหาที่ยากๆ ที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งมวลในประเทศหรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกลคือ พรรคที่ยืนยันว่า ประเทศไทยต้องการการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ฟื้นฟูประชาธิปไตย
ซึ่งหากไม่แก้ปัญหานี้ ประชาชนคนไทยก็จะต้องยากจนกันต่อไป ทรัพยากรจะถูกเอาไปใช้สร้างความนิยมทางการเมืองให้กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อไป ทรัพยากรในประเทศจะถูกนำไปใช้เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อไป และนี่คือเหตุผลที่ทำไมประเทศไทยตอนนี้ ต้องการการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบปะผุไปวันๆ แบบที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในบรรยากาศภาพรวมของการปราศรัย มีประชาชนจำนวนมากเข้ามารอฟัง มีการเตรียมหน่วยพยาบาลและรถฉุกเฉินในการดูแลประชาชนที่มาฟังการปราศรัย และมีผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดขอนแก่นเข้าร่วมการปราศรัยแสดงจุดยืนและวิสัยทัศน์พรรคก้าวไกลต่อประชาชน ได้แก่
เขต 1 วีรนันท์ ฮวดศรี (เบอร์ 4)
เขต 2 อิทธิพล ชลธราศิริ (เบอร์ 1)
เขต 3 ชัชวาล อภิรักษ์มั่นคง (เบอร์ 4)
เขต 4 วุฒิรักษ์ แพงตาแก้ว (เบอร์ 6)
เขต 5 วิชัย อินทรประสิทธิ์ (เบอร์ 5)
เขต 6 สานิตย์ พระโบราณ (เบอร์ 11)
เขต 7 รุ่งวิชิต คำงาม (เบอร์ 7)
เขต 8 อำนวย วิชาโคตร (เบอร์ 7)
เขต 9 นัฏศนันท์ ธีรวรวรรณ (เบอร์ 10)
เขต 10 นิวัตร สระพรม (เบอร์ 1)
เขต 11 ณัฏฐณิชา สารบรรณ (เบอร์ 2)