18 เมษายน 2566 การแจกเงินดิจิทัล ของพรรคเพื่อไทย ยังคงอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไม่จบ แต่ก็ส่งผลให้ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยและที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างมาก ดูได้จากผลโพลบางสำนักที่ นายเศรษฐา ติดอันดับ 4 ที่คนไทยอยากให้เป็นนายกฯ
ล่าสุด นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ออกมาย้ำในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า จะหน้าคะมำ ? นโยบายหาเสียงของบางพรรคการเมือง สู้อุตส่าห์เก็บงำไว้เป็นไม้ตายสุดท้ายเพื่อสร้างแลนด์สไลด์ เอาให้ฮือฮา กะไม่ให้พรรคอื่นกลับตัวทัน แพ้เกมทางการเมือง
แจกเงินให้คนละหมื่น มากกว่าทุกพรรค แจกหมดทั้งคนจนคนรวย แจกยันเด็กอายุ 16 ที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งและยังไม่เสียภาษีรายได้ จำนวนที่อ้างว่าจะแจกคือ 50 ล้านคน
มีคำถามว่า คนรวยทำไมถึงต้องแจก
พรรคนี้ทำอะไรง่ายๆไม่เป็น ต้องซับซ้อน อธิบายยาก ต้องอธิบายให้ได้ว่า ตกลงมันเป็นเงินดิจิตอล เงินคริปโต หรือเงินโทเคน แลกเป็นเงินสดได้มั้ย
ประการสำคัญ ที่กำลังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ เงินดิจิตอลก้อนนี้ ที่จะแจกประชาชน เข้าข่ายเป็นการสัญญาว่าจะให้หรือจัดเตรียมว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดที่สามารถคำนวณเป็นวงเงินได้ ซึ่งจะผิดกฎหมายเลือกตั้ง
และกฎหมายพรรคการเมืองยังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 57 ว่า นโยบายใดที่ประกาศโฆษณา นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงินตามโฆษณา ต้องแสดงแหล่งที่มาของวงเงินใดที่ต้องใช้จ่ายเงิน รวมทั้งผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย
กกต.กำหนดให้พรรคต้องส่งคำชี้แจงภายในวันที่ 18 เมษายนนี้ พรรคต้องชี้แจงให้ดี ในประเด็นแหล่งที่มาของวงเงิน จากรายได้ของรัฐบาลเดิม หรือขึ้นภาษีรายได้ หรือจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ขึ้นภาษีแวต หรือเร่งการบริโภคจะได้เก็บแวตได้มากขึ้น) กู้เงินเพิ่ม หรือตัดงบรายจ่ายของส่วนราชการจะทำได้หรือไม่และจะพอเพียงหรือไม่
ทั้งหลายทั้งปวงต้องไม่ขัดกฎหมายที่กกต.ดูแล พลาดพลั้งจะถูกยุบพรรค
ไม่น่าเชื่อว่า นโยบายนี้จะถูกรุมคัดค้านทั้งจากนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ สื่อ แม้แต่อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศถึงสองคน ก็ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย
มันต้องหยุดคิดและถอยนะ อย่าดื้อแพ่งต่อไปเลย
นโยบายแจกเงินทิพย์อย่างนี้ หากกกต.ปล่อยผ่าน ไม่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เท่ากับประทับตราว่า นโยบายพรรคอย่างนี้ ทำได้ ไม่ผิด นับจากนี้ จะมีนโยบายแบบนี้ทยอยออกมาซื้อเสียงเพื่อให้ได้อำนาจรัฐ
สุดท้ายไทยจะเป็นประเทศล้มละลาย
ฉห.แน่นอน