
12 เมษายน 2566 น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบาย "กองทุนไอเดีย 10,000 ล้านบาท" ของพรรคประชาธิปัตย์ หลัง คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ให้พรรคการเมืองชี้แจง รายได้ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนว่า ที่มาของเงินแจกแจงได้ชัดเจน ทั้งเงินที่มาสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ กองทุน USO ของสำนักงาน กสทช. และภาษีจากอุตสาหกรรมบันเทิง
ส่วนนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทยนั้น มองว่า ทุกนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่ดี ในการเสนอให้กับประชาชน แต่ตามที่นักวิชาการหลายฝ่ายกังวลว่า อาจจะเป็นนโยบายที่เป็นแนวประชานิยม เพื่อหวังครองใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่หลายนโยบายมีการใช้เม็ดเงินจำนวนสูงมาก จึงเกิดคำถามว่า จะนำเม็ดเงินจากที่ไหน อย่างไร เพราะขณะนี้ประเทศไทยก็ประสบปัญหา เกี่ยวกับการบริหารการเงินที่ขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะจากการเผชิญปัญหาโควิด-19 ที่ต้องมีการกู้เงิน จากต่างประเทศ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จนต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ และยังมีปัญหาด้านการจัดเก็บรายได้ที่ลดน้อยลง แต่ก็เชื่อว่า แต่ละพรรคการเมืองได้คำนวณที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในแต่ละโครงการไว้ครบถ้วนแล้ว ซึ่งต้องรอแต่ละพรรคการเมืองได้ชี้แจง
แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ สามารถชี้แจงต่อ กกต.และ ประชาชนได้ว่า เม็ดเงินแต่ละโครงการจะมาจากไหน และที่สำคัญแต่ละนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้พึ่งเงินงบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นเงินที่มาจากภาคส่วนอื่น
สำหรับนโยบายการแจกเงิน ที่ประชาชนฟังดูแล้วหวือหวาน่าสนใจ อาจจะแตกต่างจากนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น น.ส.วทันยา กล่าวว่า แต่ละพรรคก็พยายามทำนโยบายบนหลักการว่า จะอัดเงินเข้าระบบเศษฐกิจอย่างไร เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ที่จะอัดเงินเข้าระบบ 1 ล้านล้านบาท เพราะสืบเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 และวิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ค่าพลังงานสูง จนถึงค่าสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้ขอประชาชนลดน้อยลง
จึงเป็นแนวนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์คิดว่า จะอัดเงินเข้าไปหล่อเลี้ยงระบบเศษฐกิจ แต่การอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ไม่ใช่คำตอบเดียวที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยี การให้งบประมาณในการทำวิจัย และมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถคอยดูแลให้คำปรึกษาให้กับภาคธุรกิจองค์กรต่างๆ ที่ขาดทุน ควบคู่กันไป
น.ส.วทันยา กล่าวย้ำว่า โลกเศรษฐกิจในยุคหน้า เป็นยุคของเศรษฐกิจดิจิทัล การขับเคลื่อนที่จะช่วยสร้างศักยภาพเศษฐกิจให้กับประเทศไทย และประเทศอื่นทั่วโลก เติบโตแบบก้าวกระโดด ต้องมีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเป็นองค์ประกอบในทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งด้านเกษตร อุตสาหกรรมหนัง หรือ ภาคบริการ เป็นต้น